เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของ สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศใช้ มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาดุลการค้าที่ไม่สมดุล โดยกำหนดอัตราภาษีศุลกากรใหม่ให้เท่ากับที่ประเทศคู่ค้ากำหนดต่อสินค้าสหรัฐฯ ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเป้าหมายของมาตรการนี้ ส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์ไทยต้องเร่งประเมินผลกระทบ โดยเฉพาะในภาคการส่งออกสินค้าหลักอย่างชิ้นส่วนยานยนต์และเซมิคอนดักเตอร์
ผลกระทบต่อการส่งออกของไทย
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจทำให้ไทยสูญเสียรายได้จากการส่งออกระหว่าง 7,000 ถึง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะในกลุ่ม เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งอาจเผชิญภาษีสูงถึง 25%
นอกจากนั้น สินค้ากลุ่ม ชิ้นส่วนยานยนต์ ก็มีแนวโน้มได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากเป็นหนึ่งในสินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็น ตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทยในปี 2567 โดยมีสัดส่วนถึง 18.3% ของการส่งออกทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 54.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
การตอบสนองของรัฐบาลไทย
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลไทย เตรียมเดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยพิจารณา นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง น้ำมันดิบ และเอทานอล เพื่อช่วยลดดุลการค้าส่วนเกิน
นอกจากนี้ ยังมีแผนพิจารณา ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ บางรายการ เช่น เนื้อวัว และ สุรา เพื่อเปิดทางให้การค้าระหว่างสองประเทศเป็นไปอย่างสมดุลมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันจากการใช้มาตรการภาษีของฝั่งสหรัฐฯ ได้บางส่วน

ข้อมูล/ภาพ : Reuters