การใช้ ใบกำกับภาษีปลอม กลายเป็นปัญหาทางการคลังที่ส่งผลกระทบต่อระบบภาษีไทยอย่างรุนแรง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อ ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยมิชอบ หรือ ลดภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อรายได้ของรัฐเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อผู้ประกอบการที่สุจริตและภาพรวมของระบบเศรษฐกิจในประเทศอย่างกว้างขวาง แม้จะเป็นพฤติกรรมที่กระทำอย่างลับ ๆ แต่ผลร้ายกลับรุนแรงและลุกลามเป็นวงกว้าง ทั้งในแง่กฎหมายและความเชื่อมั่นของประชาชน
ใบกำกับภาษีปลอมคืออะไร และทำไปเพื่ออะไร?
ใบกำกับภาษีปลอม คือเอกสารที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการจริง หรือออกโดยบุคคลหรือองค์กรที่ไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย จุดประสงค์หลักของการใช้เอกสารลักษณะนี้คือการบิดเบือนรายการรับ-จ่าย เพื่อ หลีกเลี่ยงภาระภาษีหรือแสวงหาผลประโยชน์จากการขอคืนภาษีโดยมิชอบ
ในบางกรณี ใบกำกับภาษีปลอม ยังถูกใช้เพื่อ อำพรางธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน หรือเพื่อ ปิดบังแหล่งที่มาของรายได้ ส่งผลให้กลไกควบคุมทางการคลังของรัฐอ่อนแอลง
ใครได้รับผลกระทบจากการใช้ใบกำกับภาษีปลอม?
รัฐไทย ถือเป็นผู้เสียหายโดยตรง เพราะสูญเสีย รายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ที่ควรนำไปใช้พัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สาธารณสุข หรือโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนั้น ประชาชนทั่วไป ก็ได้รับผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เนื่องจากภาระงบประมาณของรัฐจะถูกบีบให้หันไปพึ่งรายได้จากช่องทางอื่น เช่น การขึ้นภาษีทางอ้อม หรือการกู้เงินเพิ่ม
ขณะที่ ผู้ประกอบการที่สุจริต ก็เสียเปรียบในการแข่งขัน เพราะมีต้นทุนแท้จริงสูงกว่าคู่แข่งที่ใช้ใบกำกับภาษีปลอม ซึ่งถือเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
ความผิดและบทลงโทษตามกฎหมาย
การใช้หรือออกใบกำกับภาษีปลอม มีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา โดยบทลงโทษครอบคลุมทั้งผู้ที่ ออก และผู้ที่ ใช้ เอกสารปลอมดังกล่าว
ความผิดทางแพ่ง:
ผู้ออกใบกำกับภาษีปลอม ต้องเสีย เบี้ยปรับ 2 เท่า ของภาษี และ เงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือน
ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอม ต้องเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของภาษี รวมถึงเบี้ยปรับเพิ่มเติมอีก 1 เท่า เนื่องจากยื่นภาษีเกิน และต้องเสีย เงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
ความผิดทางอาญา:
ทั้ง ผู้ใช้และผู้ออกใบกำกับภาษีปลอม ต้องระวางโทษ จำคุก 3 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท ตาม มาตรา 90/4 แห่งประมวลรัษฎากร
ผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อประเทศ
การแพร่หลายของการใช้ใบกำกับภาษีปลอมไม่ได้ส่งผลเพียงเฉพาะด้านการคลัง แต่ยัง บั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบภาษี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจแบบโปร่งใส
หากการกระทำผิดลักษณะนี้ไม่ถูกควบคุมหรือดำเนินคดีอย่างจริงจัง จะเกิดผลกระทบต่อเนื่อง เช่น สถิติทางเศรษฐกิจที่คลาดเคลื่อน การวางแผนนโยบายที่ผิดพลาด และ ภาระของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ต้องใช้ทรัพยากรในการสืบสวน ตรวจสอบ และดำเนินคดี

ข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ