น่าสังเกตว่า…ในวันที่เสียงปี่กลองเลือกตั้งท้องถิ่นยังคุกรุ่น รัฐบาลกลับต้องมานั่งทบทวน “เรือธงเศรษฐกิจ” อย่าง โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 อีกครั้ง ทั้งที่เคยแถลงการณ์กันขึงขังว่ากระเป๋านี้จะนำเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤต
พลิกกลับไปดูถ้อยคำของ “นายกฯ แพทองธาร” ที่ยืนยันว่า ยังไม่ยกเลิก โครงการ แต่ขอเวลาทบทวนและฟังเสียงจากหน่วยงานอย่าง สภาพัฒน์ฯ และ ธปท. คำถามคือ…นี่คือการแสวงหาคำตอบเพื่อพาประเทศไปข้างหน้า หรือคือสัญญาณว่ารัฐบาลเองยังไม่แน่ใจในความมั่นใจของตัวเอง?
ความย้อนแย้งยิ่งเผยตัวเมื่อรัฐมนตรีคลัง “พิชัย ชุณหวชิร” กล่าวว่าจะต้อง “ทบทวนอีกครั้ง” ทั้งที่เฟสนี้มีเป้าหมายเจาะกลุ่มเยาวชนอายุ 16–20 ปี ราว 2.7 ล้านคน ใช้งบประมาณ 27,000 ล้านบาท น้อยกว่าครึ่งของเฟสก่อน และยังอยู่ในกรอบนโยบายที่ ครม. เคยอนุมัติไว้แล้วเสียด้วยซ้ำ
ฟังเผิน ๆ ดูเป็นธรรมดาของการ “ใช้ดุลยพินิจ” ทางเศรษฐกิจ
แต่ในความเป็นจริง…ดุลยพินิจแบบนี้ต่างหากที่ทำให้ “สัญญาแห่งความหวัง” กลายเป็น “เสียงลมของความลังเล”
มันไม่ใช่แค่เรื่องของการแจกเงิน แต่มันคือเรื่องของ “ความเชื่อมั่น” และ “การบริหารความเสี่ยง” ของรัฐบาล
ยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจโลกผันผวน จากนโยบายการคลังสหรัฐฯ ไปจนถึงราคาน้ำมันและท่าทีของจีน
คำถามคือ: ถ้าแม้แต่กลไก “กระตุ้นในประเทศ” เองยังต้องทบทวนแล้วทบทวนอีก แล้วเศรษฐกิจไทยจะยืนอยู่ตรงไหนในสนามโลก?
หรือสุดท้าย…นโยบายนี้จะกลายเป็น “ไม้กันล้มทางการเมือง” มากกว่าเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ?
เพราะถ้าจะต้องทบทวนทุกครั้งที่เรตติ้งสะดุด หรือเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนทิศ
แล้วจะมีนโยบายไหนเล่า…ที่รอดพ้นจาก “ทัณฑสถานแห่งความลังเล”
ประชาชนไม่ได้ต้องการคำว่า “ยังไม่ยกเลิก”
แต่ต้องการคำว่า “จะทำเมื่อไหร่ และทำเพื่อใคร” อย่างชัดเจน
