การฟ้องร้องครั้งสำคัญที่อาจเขย่าวงการโทรคมนาคมไทย เมื่อสภาองค์กรของผู้บริโภคเดินหน้ายื่นฟ้อง กสทช. ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อหยุดยั้งการประมูลคลื่น 2100 และ 2300 MHz ที่ส่อเค้าผูกขาด เอื้อทุนใหญ่ กดทับผู้บริโภค และทำให้รัฐสูญรายได้มหาศาล

เวลา 13.00 น. วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ที่ศาลปกครองกลาง สภาองค์กรของผู้บริโภค นำโดย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ และนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการ กสทช., สำนักงาน กสทช. และเลขาธิการ กสทช. เพื่อขอให้เพิกถอนประกาศการประมูลคลื่นโทรคมนาคมในย่าน 2100 และ 2300 MHz โดยชี้ว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้ตลาดโทรคมนาคมไทยเข้าสู่ภาวะผูกขาดถาวร

สภาฯ เรียกร้องให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับการใช้ประกาศดังกล่าว และให้ กสทช. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การประมูลใหม่ให้สอดคล้องกับการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมถึงต้องตั้งราคาขั้นต่ำให้เหมาะสม โดยอ้างอิงจากรายได้ที่รัฐเคยได้รับจากการให้เช่าคลื่นในอดีต

นายอิฐบูรณ์ชี้ว่า ขณะนี้มีเพียงสองผู้เล่นหลักในตลาดที่ครองส่วนแบ่งมากถึง 97.29% ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหม่และรัฐวิสาหกิจอย่าง NT ไม่มีความพร้อม ไม่มีโครงข่ายรองรับ และยังไม่ได้รับมติจากคณะรัฐมนตรีให้เข้าร่วมประมูล ทำให้ตลาดไม่มีการแข่งขันอย่างแท้จริง

ราคาประมูลที่ตั้งไว้ยังต่ำผิดปกติ เช่น คลื่น 2100 MHz ตั้งราคาขั้นต่ำเพียง 4,500 ล้านบาทต่อ 15 ปี หากประมูลหมดทั้ง 3 ชุด รัฐจะได้เพียง 13,500 ล้านบาท ขณะที่ NT เคยปล่อยเช่าคลื่นนี้ปีละ 3,900 ล้านบาท ซึ่งจะทำรายได้ถึง 58,500 ล้านบาทในระยะเวลาเท่ากัน ส่วนคลื่น 2300 MHz หากประมูลหมดทั้ง 6 ชุด จะสร้างรายได้เพียง 15,576 ล้านบาท เทียบกับรายได้จากการเช่า 67,650 ล้านบาท

น.ส.สุภิญญาตั้งคำถามตรงไปยัง กสทช. ว่า การประมูลครั้งนี้ “ใครได้ ใครเสีย” เพราะเท่าที่เห็น ประเทศชาติและประชาชนไม่ได้ประโยชน์ และไม่มีหลักประกันว่าค่าบริการจะถูกลงหรือผู้บริโภคจะได้รับการคุ้มครองด้านคุณภาพบริการ

คำฟ้องของสภาผู้บริโภคขอให้ศาลมีคำสั่ง 5 ประการ เช่น เพิกถอนประกาศ, ปรับราคาขั้นต่ำ, กำหนดแผนคุ้มครองผู้บริโภค, กำหนดเงื่อนไขป้องกันการผูกขาด และให้ NT เป็นผู้บริหารคลื่นแทนการขายขาด

นายวศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความของสภาฯ ย้ำว่า การมายื่นครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อหยุดการประมูล แต่เพื่อให้กระบวนการประมูลเป็นธรรมและไม่กลายเป็นการ “ประเคนคลื่น” แก่กลุ่มทุน