มีเรื่องเล่าจากตลาดสดหลายจังหวัด ที่แม่บ้านต้องเปลี่ยนเมนูจากไข่เจียวเป็นไข่ต้ม เพราะราคาน้ำมันปาล์มขวดกระโจนขึ้นสูงจนต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนเทน้ำมันใส่กระทะ เรื่องฟังดูเล็กน้อย แต่จริงจังระดับชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วประเทศ
ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มบีบผู้บริโภคให้กลุ้มอกกลุ้มใจ ชาวสวนปาล์มก็แทบหมดแรงใจจะเก็บผลผลิต เพราะราคาผลปาล์มที่เคยพออยู่ได้ที่ระดับ 10 บาทเมื่อต้นปี ตอนนี้ทรุดฮวบลงมาเหลือเพียง 4.50 บาท
กลายเป็นวิกฤตสองด้านที่บีบทั้งต้นน้ำและปลายน้ำให้หมดลมหายใจ
นี่ไม่ใช่แค่วิกฤตเศรษฐกิจรายสินค้า แต่มันสะท้อน “รัฐล้มเหลว” ที่ไม่สามารถสร้างเสถียรภาพของระบบสินค้าเกษตรได้ ไม่สามารถบริหารจัดการสต๊อก ไม่สามารถควบคุมซัพพลายเชน ไม่สามารถหาตลาดเพิ่มได้ทันสถานการณ์ และที่สำคัญ…ไม่สามารถแสดงความจริงใจในการลงมาคลี่คลายปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
เสียงจากสภาถึงขั้นต้องตั้งคำถามว่า “ท่านรัฐมนตรีพลังงานอยู่ที่ไหน?” ทั้งที่ปาล์มน้ำมันเกี่ยวโยงโดยตรงกับนโยบายไบโอดีเซลและพลังงานทดแทน แต่กลับมีข่าวว่าท่านเดินทางไปต่างประเทศ ทิ้งวิกฤตไว้ให้ประชาชนทอดไข่ด้วยความรู้สึกผิด
รัฐมนตรีพาณิชย์ก็ถูกพาดพิงว่าอยู่ในห้องประชุมหรือเปล่า? หรือนั่งในห้องแอร์เฉยๆ ท่ามกลางเสียงโอดครวญของประชาชนที่ต้องเจอราคาน้ำมันแพงทั้งที่ผลผลิตล้นตลาด
นี่หรือคือการบริหารจัดการ?
หากนี่ไม่ใช่ภาพจำลองของรัฐบาลที่ “ติดลม” ไม่สามารถดึงตัวเองกลับมาสู่พื้นปัญหาที่ประชาชนเผชิญอยู่ทุกวันได้ ก็คงต้องนิยามใหม่ว่า “รัฐล้มเหลว” คืออะไร
รัฐที่ดีต้องไม่ทิ้งชาวสวน และต้องไม่ให้ประชาชนทอดไข่ด้วยความระแวง
