วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ที่จังหวัดอุดรธานี อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่ว่า “ประเทศไทยไม่รับอำนาจศาลโลก ไม่มีใครบังคับเราได้” ซึ่งเป็นการตอบโต้กรณีกัมพูชากำลังพิจารณายื่นข้อพิพาทเขาพระวิหารให้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พิจารณา ด้วยเหตุผลเพื่อคงอธิปไตยของชาติและยืนหยัดให้แก้ปัญหาชายแดนผ่านเจรจาทวิภาคี
ในสัมภาษณ์ นายอนุทินกล่าวว่ากัมพูชามีสิทธิ์ยื่นเรื่องต่อศาลโลก แต่ไทยยืนยันไม่รับอำนาจศาลโลก และจะไม่ถูกบังคับให้เข้าร่วมกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ ประเด็นนี้สอดคล้องกับที่หน่วยงานไทยมองว่าต้องรักษาอำนาจอธิปไตยด้วยการใช้เจรจาทวิภาคีในระบบ JBC

การปฏิเสธครั้งนี้สะท้อนถึงแนวทางของไทยที่ไม่ต้องการให้ศาลโลกก้าวก่าย แต่พร้อมสานต่อกลไก JBC ทำให้ประชาชนมั่นใจว่าไทยจะดูแลความมั่นคงชายแดนด้วยการเจรจาและมาตรการภายใน
พร้อมรับมือชายแดนเต็มที่
นอกจากประเด็นศาลโลก อนุทินยังเปิดเผยว่าได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนกัมพูชาเตรียมมาตรการรองรับความตึงเครียดอย่างครบถ้วน มีการตรวจความพร้อมของโรงพยาบาล สนามหลบภัย และสถานพยาบาลในชุมชน โรงเรียน วัด เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนไม่ต้องกังวล พร้อมย้ำว่า “ไม่ทิ้งประชาชนเด็ดขาด”
มาตรการที่ชัดเจนนี้แสดงถึงความจริงจังของรัฐในด้านความปลอดภัยและการเตรียมความพร้อมจัดการวิกฤติกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันในพื้นที่ชายแดน
ทั้งนี้ นโยบายของไทยในการปฏิเสธศาลโลกสะท้อนแรงกดดันจากกลุ่มชาตินิยมภายในที่ต้องการรักษาอธิปไตยเต็มเปี่ยม ในขณะเดียวกัน กัมพูชายืนยันจะเดินหน้ายื่นข้อพิพาทขอบเขตเขาพระวิหารต่อศาลโลก จุดยืนที่แตกต่างเช่นนี้อาจสร้างความตึงเครียดทางการทูต จนการเจรจาในกลไก JBC ครั้งต่อไปในเดือนกันยายนมีความหมายอย่างมาก
หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายผ่านการเจรจาทวิภาคี อาจนำไปสู่ความตึงเครียดและผลทางเศรษฐกิจ เช่น การคว่ำบาตรด้านพลังงานหรือสื่อสาร ยิ่งไปกว่านั้นยังสะท้อนถึงความชะลอตัวในการใช้เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน