วันที่ 15 มิถุนายน 2568 สำนักข่าวสหรัฐรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาขยายคำสั่งห้ามเดินทาง (travel ban) โดยเพิ่มอีก 36 ประเทศ ซึ่งครอบคลุมประเทศในภูมิภาคแอฟริกา เอเชีย เอเชียกลาง และหมู่เกาะแปซิฟิก รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใจุดประสงค์เพื่อเสริมความมั่นคง ป้องกันการหลบหนีออกนอกประเทศ และลดภัยคุกคามด้านความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กำหนดมาตรการให้แต่ละประเทศมีเวลา 60 วันเพื่อตอบข้อกังวลต่างๆ
เหตุผลเบื้องหลังการเพิ่มชาติในข้อบังคับ
ในเอกสารภายในของกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งลงนามโดย รัฐมนตรีต่างประเทศมาโคร รูบิโอ ระบุว่าประเทศที่ถูกพิจารณาสูงสุดละเมิดหลายด้าน เช่น การไม่ให้ความร่วมมือในการส่งผู้ต้องหากลับประเทศ การออกหนังสือเดินทางไม่ปลอดภัย และเอกสารไม่เชื่อถือได้ หรือมีปัญหาเรื่องผู้คนพำนักเกินระยะเวลาวีซ่า รวมถึงมีประวัติความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือการแสดงออกค่านิยมต่อต้านสหรัฐฯ
สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวทางการใช้ travel ban ในบริบทหลังยุคแรกของทรัมป์ ที่เน้นต้นทางความเสี่ยงและวงจรทางกฎหมาย พร้อมสร้าง “มาตรฐานใหม่” ให้รัฐบาลต่างประเทศอบรมระบบเอกสารและการตรวจคนเข้าเมืองของตนให้เข้ามาตรฐานสากล

ประเทศในเอเชียและอาเซียนที่อาจได้รับผลกระทบ
จากรายชื่อเบื้องต้นที่ได้รับการเปิดเผย มีประเทศในกลุ่มเอเชียกลางและหมู่เกาะแปซิฟิกที่ถูกคาดว่าจะเข้าข่าย เช่น คีร์กีซสถาน, บรูไน, ตองก้า, ตูวาลู ขณะเดียวกัน กัมพูชา เป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกจัดอยู่ใน Tier เหลือง ที่ต้องปรับปรุงเอกสารและมาตรการภายใน 60 วัน
ตรงนี้นับเป็นสัญญาณเตือนถึงกลไกทางการทูตที่ยิ่งเข้มข้นขึ้น สำหรับหลายประเทศอาเซียนที่ต้องเปลี่ยนแปลงมาตรการเรื่องหนังสือเดินทาง เอกสารระบุตัวตน และการจัดระบบการตรวจคนเข้าเมืองให้มีมาตรฐานสูงขึ้น ตามเกณฑ์ความปลอดภัยของสหรัฐฯ
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การเพิ่มประเทศใน travel ban ยกเว้นไม่ได้จะทำให้มิติความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศระดับกลาง–ล่างเปลี่ยนไป ทั้งทางการทูตและเศรษฐกิจ ทรัมป์ใช้วิธีนี้เป็นเครื่องมือในการควบคุมนโยบายการเข้าเมืองและตอบสนองฐานเสียงภายในประเทศ
สำหรับประเทศที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ การถูกประเมิน “ส่วนหนึ่ง” ของ travel ban หมายถึงอาจเจอวีซ่าถูกจำกัด หรืออาจถูกพักการเข้าเมืองบางประเภท จนกว่าจะปรับปรุงให้ได้ตามมาตรฐานสหรัฐฯ ภายใน 60 วัน