การโจมตีทางอากาศครั้งล่าสุดของอิสราเอลต่อเป้าหมายสำคัญในกรุงดามัสกัส เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กลายเป็นจุดสนใจของเวทีโลกอีกครั้ง หลังเครื่องบินรบและโดรนของอิสราเอลพุ่งเป้าโจมตี กระทรวงกลาโหมซีเรีย และทางเข้ากองบัญชาการทหาร จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 30 ราย การโจมตีครั้งนี้มิใช่เพียงแค่การแสดงแสนยานุภาพทางทหาร หากแต่เป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ต่อทั้งรัฐบาลซีเรียและอิหร่านในบริบทความมั่นคงที่เปราะบางของภูมิภาค
ปกป้องพันธมิตรชาติพันธุ์ และต่อต้านอิทธิพลอิหร่าน
แม้จะมีคำอธิบายจากฝั่งอิสราเอลว่า การโจมตีครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ “ปกป้องชาวดรูซ” ในจังหวัด ซูเวด้า ทางตอนใต้ของซีเรีย ซึ่งตกเป็นเป้าการโจมตีจากกลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลซีเรีย แต่อันที่จริงแล้ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ต่อเนื่องของอิสราเอลในการควบคุมและขัดขวางการขยายอิทธิพลของ อิหร่าน และเครือข่ายพันธมิตรของอิหร่านในซีเรีย
ซีเรียในยุคของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ยังคงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ อิหร่านใช้เป็นสะพานเชื่อมอาวุธไปยังกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน และเป็นฐานปฏิบัติการของกองกำลังติดอาวุธชีอะห์ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างลับ ๆ อิสราเอลจึงมีนโยบาย “ความมั่นคงเชิงรุก” ที่เน้นการโจมตีล่วงหน้าเพื่อสกัดกั้นการสะสมอาวุธและโครงสร้างพื้นฐานทางทหารของฝ่ายตรงข้าม

ซูเวด้า: ปมร้อนที่กลายเป็นชนวน
พื้นที่ซูเวด้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นถิ่นฐานของชาวดรูซ กำลังกลายเป็นพื้นที่สังหารที่ถูกหลงลืม มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงมากกว่า 250 รายในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อิสราเอลให้เหตุผลว่าการโจมตีกรุงดามัสกัสในครั้งนี้คือการ “ตอบโต้” ต่อความล้มเหลวของรัฐบาลซีเรียในการปกป้องชนกลุ่มน้อยดรูซ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่า สาเหตุที่แท้จริงอาจลึกซึ้งกว่านั้น อิสราเอลมองว่าเหตุการณ์ในซูเวด้าอาจกลายเป็นโอกาสในการ เพิ่มอิทธิพลในกลุ่มชาติพันธุ์ดรูซ ทั้งในซีเรียและเลบานอน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเปราะบางแต่ทรงอิทธิพล และมีความเกี่ยวพันทางชาติพันธุ์กับชาวดรูซในอิสราเอลที่รับใช้ในกองทัพอยู่จำนวนไม่น้อย
ตีซีเรียกระทบถึงอิหร่าน
การถล่มจุดศูนย์กลางทางทหารในกรุงดามัสกัสที่อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังประธานาธิบดี ไม่ใช่เรื่องที่อิสราเอลทำเป็นปกติ จุดดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐและโครงสร้างอธิปไตยของซีเรีย การโจมตีจึงมีความหมายเชิงจิตวิทยาอย่างยิ่ง และไม่ใช่เพียงการ “เตือน” ซีเรียเท่านั้น แต่ยังส่งตรงไปยัง อิหร่าน ที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางทหารอย่างแน่นแฟ้นกับระบอบอัสซาด
หลายฝ่ายมองว่านี่คือสัญญาณว่าอิสราเอลพร้อมยกระดับการเผชิญหน้าในแนวเหนือ หากสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอนปะทุขึ้น หรือหากอิหร่านยังคงผลักดันอาวุธผ่านซีเรียเข้าสู่เครือข่ายติดอาวุธในภูมิภาค
ตะวันออกกลางตึงเครียดอีก?
แม้การโจมตีจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาที แต่ผลสะเทือนอาจกินเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน รัฐบาลซีเรียประกาศว่าจะตอบโต้ “ในเวลาที่เหมาะสม” ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่สะท้อนความตึงเครียดแต่ยังคลุมเครือ ขณะที่เครือข่ายพันธมิตรของซีเรีย ทั้งในเลบานอน อิรัก และอิหร่าน กำลังอยู่ในช่วงประเมินสถานการณ์เช่นกัน
คำถามสำคัญคือ อิสราเอลจะเดินหน้ากดดันทางทหารต่อไปหรือไม่ หากการตอบโต้จากซีเรียไม่เกิดขึ้นทันที หรือหากสถานการณ์ในซูเวด้ายังคงบานปลาย แนวโน้มการปะทะซ้ำ หรือแม้แต่การเปิดแนวรบแบบพร็อกซี่อาจกลายเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในระยะสั้น ภูมิภาคตะวันออกกลางอาจเผชิญช่วงเวลาของ “ความเงียบก่อนพายุ” ขณะที่ทุกฝ่ายจับตาเกมการเมืองและความมั่นคงที่อิสราเอลกำลังเล่นกับซีเรียและอิหร่าน ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมภูมิรัฐศาสตร์ของตะวันออกกลางอีกครั้ง