การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ต้องยุติลงก่อนเวลาอันควรอีกครั้ง หลังจากประธานในที่ประชุมชั่วคราวอย่าง พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ประกาศปิดประชุมทันทีเมื่อมีการขอให้นับองค์ประชุม ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้านเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ว่าเป็นการจงใจหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในการบริหารจัดการเสียงข้างมากในสภาของรัฐบาล
การประชุมเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ณ อาคารรัฐสภา เกิดความวุ่นวายหลังมีการหารือข้อเสนอจากสมาชิกสภาหลายฝ่าย ต่อมา ส.ส.ฝ่ายค้าน ขอให้นับองค์ประชุมเพื่อยืนยันความชอบธรรมของการดำเนินการตามระเบียบวาระ แต่ก่อนที่จะมีการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ทำหน้าที่รองประธานสภาฯ และกำลังทำหน้าที่ประธานอยู่ ได้สั่งปิดประชุมสภาโดยไม่กล่าวคำชี้แจงเพิ่มเติม
ปัญหาเสียงปริ่มน้ำยังแก้ไม่ได้
เหตุการณ์นี้ถือเป็นอีกครั้งที่สะท้อนปัญหาเสียงในสภาที่ไม่มั่นคงของรัฐบาลชุดปัจจุบัน แม้จะอ้างว่ามีเสียงข้างมากในสภา แต่จากพฤติกรรมการปิดประชุมเมื่อถูกขอให้นับองค์ประชุม ยิ่งตอกย้ำว่า “เสียงแท้จริง” ที่รัฐบาลควบคุมได้อาจไม่เพียงพอต่อการผลักดันนโยบาย
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ก็เคยใช้แนวทางเดียวกันในการปิดประชุมทันที หลังจากฝ่ายค้านกดปุ่มขอให้นับองค์ประชุมระหว่างการพิจารณาญัตติเรื่องสำคัญ ซึ่งขณะนั้นมี ส.ส.รัฐบาลทยอยเดินออกจากห้องประชุม ทำให้ประธานการประชุมตัดสินใจไม่เสี่ยงเดินหน้าวาระต่อเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียคะแนนเสียงในสภา
เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการ “หนีการนับองค์ประชุม” ที่บั่นทอนภาพลักษณ์ของรัฐสภา และสะท้อนถึงปัญหาการจัดการเสียงข้างมากในสภาที่รัฐบาลยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างแท้จริง ในขณะที่ประชาชนคาดหวังให้ฝ่ายนิติบัญญัติเสนอแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ การเห็นผู้แทนฯ หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเช่นนี้ จึงยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของการเมืองไทยตกต่ำ

พิเชษฐ์ ไม่ชี้แจงต่อสื่อ ปัดแสดงความเห็น
ภายหลังการปิดประชุม ผู้สื่อข่าวพยายามขอสัมภาษณ์ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน แต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะให้ความคิดเห็นใดๆ โดยอ้างเพียงสั้นๆ ว่า “ทำตามระเบียบที่มีอยู่” ก่อนจะเดินทางออกจากอาคารรัฐสภา
ปัญหาเรื่องการนับองค์ประชุมนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นโจทย์ข้อล่าสุดที่รัฐบาลแพทองธาร จะต้องเร่งหาแนวทางจัดการอย่างเร่งด่วน หากปัญหานี้ยังคงเกิดขึ้นซ้ำซาก ย่อมสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภายในพรรคร่วมรัฐบาลเอง
อีกทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อการผ่านร่างกฎหมายสำคัญที่อยู่ในระเบียบวาระสมัยประชุมปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะต้องได้รับการพิจารณาโดยเร็วตามกรอบเวลา