MOA ราคาที่“ก๊กส้ม”ต้องจ่าย

งาเพิ่งจะงอก ฤาจะสู้พวกเขี้ยวลากดิน “รัฐพันลึก” ได้

ไม่ทันจะครบ 1 สัปดาห์ดี ที่ MOA ข้อตกลงร่วมข้อแรก ระหว่างพรรคประชาชน กับพรรคภูมิใจไทย ในการดัน “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 32 มีอันต้องล่มปากอ่าว

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง แปลไทยเป็นไทย คือ ห้ามประชาชนเลือกตั้ง ส.ส.ร. โดยตรง มายกร่างรัฐธรรมนูญ เท่ากับปิดกั้นแนวทางหลักของ ก๊กส้ม ที่ต้องการ ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้ง 100% มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่

และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่

แต่การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้

เป็นเกมโหดของอำนาจนอกระบบ เพราะเท่ากับปิดฝากกาต้มน้ำ ไม่ให้สังคมมีทางออกจากวิกฤติรัฐธรรมนูญ

เล่นเอา “เท้ง”ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และพลพรรคส้มเช้ง หงายท้อง ที่ถูกตลบหลังกันตั้งแต่ดอกแรก

เงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือหัวใจสำคัญที่สุดของ MOA ฉบับนี้ ที่ทำให้ก๊กส้ม ยอมกลืนน้ำลายหันไปจูบปากรัฐพันลึก จนก่อกำเนิดรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมาจนถึงวันนี้

ทั้ง “เท้ง”ณัฐพงษ์ และค่ายส้ม ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะไม่ใช่ว่าไม่มีทางเลือก แต่เลือกที่จะเดินทางนี้เอง ทั้ง 143 สส. เทเสียงให้ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่เสียงเดียว จะมาทำยืนเก็กหล่อออกมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างสง่างามแค่นั้นไม่ได้

ตีเช็กเปล่าไปแล้ว ก็ต้องคอยติดตามผลด้วยว่า เขาจะเอาไปขึ้นเงิน แล้วนำไปปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรต่อ

ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปจะกลายเป็นบ้องกัญชาหรือไม่ คงเดากันได้ไม่ยาก

แม้ ก๊กส้ม จะรีบแก้ลำด้วยการหารือร่วมกับพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย รวมถึงกมธ.พัฒนาการเมือง วุฒิสภา จนมีมติเห็นพ้องต้องกันของ 3 พรรค ให้ดำเนินการยกร่างแก้ไรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เพิ่มเติมเป็นหมวด 15/1 เปิดประตูการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีส.ส.ร.จากการเลือกทางอ้อม มาเป็นผู้ยกร่าง

ที่ พริษฐ์ วัชรสินธ์ แกนนำค่ายส้ม ถึงขั้นใช้คำว่า เป็นสัญญาประชาคม ของ 3 พรรค

อย่าว่าแต่ สัญญาประชาคม เลย ขนาดลงสัตยาบันกันสด ๆ ยังฉีกกระจุยมาแล้ว จนถึงนาทีนี้ก็ยังหวังอะไรไม่ได้ว่าการแก้รัฐธรรมนูญ จะไปสุดกันตรงไหน

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กระบวนการต้องเป็น สส. สว. แล้วใครคือคนคุมสภาสูงได้เบ็ดเสร็จ คงไม่ต้องให้บอก ว่าใครคือผู้คุมเกมแก้รัฐธรรมนูญตัวจริง

และกลายเป็นข้ออ้างของ “อนุทิน” ได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่ได้เป็นผู้ทำผิดเงื่อนไข แต่เป็นเพราะศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยออกมาแบบนี้

เป็นราคาค่าโง่ที่ ก๊กส้ม ต้องจ่าย

เตะหมูเข้าปากหมา คนที่ตีขิมสบายใจ คือ ภูมิใจไทย กับพรรคร่วมรัฐบาล มีเวลาสะสมเสบียงกรัง-ไพร่พล 4 เดือน + เหลือเฟือ ส่วนประชาชนคนทั่วไปได้แต่ร้อง แบ๊ะ ๆ

“ก๊กน้ำเงิน” ที่เคยถูกตราหน้าเป็นผู้ขัดขวางไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญในรัฐบาลชุดที่แล้ว กลับลำมาแก้รัฐธรรมนูญในรอบนี้ เลยได้หน้าได้ตาไปเต็มๆ ว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามข้อสัญญา MOA ทุกประการ ไม่ได้บิดพลิ้ว เรียกคะแนนนิยมไปได้อีก

ไม่ว่าบทสรุป ประชาธิปไตยสารขันฉบับส้ม จะออกมาหน้าไหน แต่การดัน “หนู” ขึ้นเป็น “ราชสีห์” คือการเดินเกมผิดพลาดอย่างสาหัส

ต้องเสียทั้งฐานมวลชนด้อมส้ม เสียทั้งภาพลักษณ์พรรค

แล้วทำลายความฝัน การเมืองในอนาคต ที่หลายคนฝากความหวังเอาไว้

บทพิสูจน์ “ดอกไม้บนกอง..ี้ควาย”

กระทรวงดีอี-แบงค์ชาติ เร่งปลดล็อกบัญชีถูกระงับ หลังอายัด “บัญชีม้า” กระทบคนธรรมดา