ในยามที่สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชากำลังร้อนแรงอีกครั้ง คำว่า “MOU 43” ถูกปลุกขึ้นมาเป็นเหมือน “คำสาปทางการเมือง” ที่ถูกหยิบยกทุกครั้งเมื่อสังคมตั้งคำถามว่า ทำไมไทยต้องถอย ทำไมจึงไม่ตอบโต้ ทำไมถึงปล่อยให้กัมพูชารุกคืบ?
คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ในเอกสารเพียงไม่กี่หน้า ที่ชื่อว่า Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Kingdom of Cambodia on the Survey and Demarcation of Land Boundary หรือที่รู้จักกันในนาม MOU 43
MOU 43 ลงนามเมื่อปี 2543 ในยุครัฐบาล “ชวน หลีกภัย” โดยมีจุดประสงค์ดูเผินๆ ว่าจะช่วย “คลี่คลาย” ปัญหาเขตแดนที่ยังไม่ชัดเจนกว่า 73 จุดตลอดแนวชายแดนกว่า 800 กิโลเมตร
แต่ในทางการเมือง MOU 43 กลายเป็นเหมือน “กรงกำแพงทางกฎหมาย” ที่จำกัดสิทธิ์ไทยเอง เพราะมีข้อกำหนดให้ “ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศชายแดน จนกว่าจะมีการปักปันเสร็จสมบูรณ์”
นี่คือข้อห้ามที่ทำให้ไทยไม่สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ไม่สามารถขยับแนวกำลัง หรือแม้แต่ “ขุดคูน้ำ” เพื่อป้องกันการรุกล้ำได้ หากกัมพูชาอ้างว่าเป็นพื้นที่พิพาท

นักกฎหมายระหว่างประเทศหลายรายเคยเตือนว่า ข้อความสั้นๆ ใน MOU 43 นี่เอง ที่เปลี่ยน “พื้นที่อธิปไตย” ให้กลายเป็น “พื้นที่รอพิพาท” โดยปริยาย
กัมพูชาใช้ MOU 43 เป็นฐานทางกฎหมายอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนหลายจุด ทั้งรอบปราสาทพระวิหาร ไปจนถึงเขตชายแดนสระแก้ว–บุรีรัมย์–ศรีสะเกษ
รายงานของฝ่ายความมั่นคงไทยระบุว่า มีอย่างน้อย 17 จุดที่กัมพูชาฝ่าฝืน MOU และ กว่า 600 กรณีที่ไทยต้องยอม “ไม่ตอบโต้” เพราะเกรงถูกตีความว่าผิดข้อตกลง
แต่ในทางกลับกัน กัมพูชาเองกลับ สร้างถนน ก่อสร้างหมู่บ้าน และตั้งฐานทหาร ในบางพื้นที่ โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ของตน พูดอีกอย่างได้ว่า MOU 43 ถูกใช้เป็น “โล่กันไทย” แต่ไม่เคยเป็น “กุญแจล็อกกัมพูชา”
เกิดคำถามทำไมไทยไม่กล้ายกเลิก เพราะการยกเลิก MOU 43 ไม่ได้หมายถึงแค่ “ฉีกกระดาษ” แต่มันหมายถึงการ สูญเสียกรอบเจรจา (Joint Boundary Commission) ซึ่งเป็นช่องทางทางการทูตเพียงหนึ่งเดียวในการเจรจาชายแดน
ถ้าไทยฉีกข้อตกลงนี้ทันที กัมพูชาอาจใช้ช่องว่างทางการทูตนี้ “ยกระดับปัญหา” ไปสู่องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ศาลโลก หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งในเวทีนั้น ไทยไม่มีทางได้เปรียบแน่นอน เพราะเคย “ยอมรับ” MOU 43 แล้วว่าเป็นข้อตกลงที่มีผลบังคับ
ดังนั้น ฝ่ายการทูตไทยจึงมักเลือกแนวทาง “รักษาไว้แต่ตีความใหม่” มากกว่าจะ “ยกเลิกทั้งหมด” แม้จะเข้าใจได้ในเชิงยุทธศาสตร์ แต่การปล่อยให้ MOU 43 ดำรงอยู่โดยไม่ทบทวน กลับทำให้ไทย “ถูกขึงพืด” อยู่ในกับดักกฎหมายที่อีกฝ่ายใช้เล่นงานได้เสมอ
ในแง่การเมืองภายใน เสียงเรียกร้องให้ “ยกเลิก MOU 43” จึงกลายเป็นธงการเมืองยอดนิยม เพราะฟังดูชัดและกล้าหาญ แต่ในความจริง นี่คือเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่อาจตัดสินด้วยอารมณ์ประชานิยมได้
หากรัฐบาลใดจะ “แตะ” MOU 43 ต้องมีทั้ง แผนสำรองทางการทูต และ แผนรับมือทางทหาร พร้อมในเวลาเดียวกัน ซึ่งทางออกของไทยอาจไม่ใช่การยกเลิก MOU 43 แต่คือ การเจรจาทบทวน ปรับเงื่อนไข และสร้างกลไกตรวจสอบการละเมิดที่เป็นรูปธรรม
MOU 43 ไม่ใช่ปีศาจ และก็ไม่ใช่เกราะวิเศษ มันเป็นเพียง “เครื่องมือ” ที่จะดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ถือมันมีสติและกล้าพอหรือไม่ ถ้าไทยยังยึดติดกับกรอบเก่าที่อีกฝ่ายใช้ประโยชน์ได้ฝ่ายเดียว ไทยก็จะถูกขังอยู่ใน “กับดักทางการทูต” ต่อไป
แต่ถ้าไทยกล้าเปิดโต๊ะใหม่ ไม่ใช่ด้วยเสียงตะโกน แต่ด้วยข้อมูล กฎหมาย และแผนเจรจาที่รอบคอบ MOU 43 อาจกลายจากพันธนาการ เป็นอาวุธทางการทูตที่ปกป้องอธิปไตยได้อย่างแท้จริง