วันที่ 14 ตุลาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี เข้ายื่นหนังสือต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรียกร้องให้ ยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับที่ 43 และ 44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยให้ระงับการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทุกระดับไว้ก่อน จนกว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติยกเลิกอย่างเป็นทางการ
มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจี้รัฐบาลไทย ยกเลิก MOU 43-44 โดยไม่ต้องทำประชามติ
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในนาม มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลไทยยกเลิก MOU 43 และ 44 โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประชามติหรือส่งให้กรรมาธิการศึกษาเพิ่มเติม โดยอ้างว่ากัมพูชาได้ ละเมิดร้ายแรงตามมาตรา 60 ของอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ.1968 ซึ่งเปิดช่องให้ไทยมีสิทธิบอกเลิกข้อตกลงได้
กลุ่มผู้ยื่นหนังสือยังระบุว่า หากรัฐบาลไทยไม่ดำเนินการยกเลิกโดยเร็ว อาจกระทบต่อ สิทธิอธิปไตยของชาติ และสถานะของไทยในทางกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเสนอให้การยกเลิก MOU 43 มีผลบังคับใช้ภายใน 8 เดือน ตามมาตรา 65 ของอนุสัญญาเดียวกัน ส่วน MOU 44 ควรถูกยกเลิกภายใน 12 เดือน ภายใต้หลักการของ มาตรา 56 ของอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ.1969
ขอระงับประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนทุกระดับ จนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิก
ในหนังสือดังกล่าว กลุ่มมูลนิธิยังขอให้รัฐบาลสั่งระงับการประชุม คณะกรรมาธิการชายแดนไทย–กัมพูชา ทุกระดับ ได้แก่ RBC (Regional Border Committee), GBC (General Border Committee) และ JBC (Joint Boundary Commission) ไว้ชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดำเนินการใด ๆ ที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ของไทยในพื้นที่ชายแดน
นายปานเทพระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนถึง พฤติกรรมละเมิดข้อตกลงของกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ชายแดนและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเข้าข่ายการไม่ปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
“อนุทิน” รับหนังสือแต่ขอเวลาศึกษา ย้ำยังไม่ให้ความเห็น
ภายหลังการเข้ายื่นหนังสือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ออกมารับด้วยตนเอง ก่อนจะกล่าวสั้น ๆ กับผู้สื่อข่าวว่า “ต้องไปอ่านก่อน” จากนั้นได้ขึ้นห้องประชุมทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบรายละเอียดของ MOU ทั้งสองฉบับ ก่อนพิจารณาว่าจะสามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องของกลุ่มมูลนิธิได้หรือไม่
