“วรภัค ธันยาวงษ์” ยื่นลาออกจากตำแหน่งรมช.คลัง อ้างปกป้องชื่อเสียงท่ามกลางกระแสพัวพันเครือข่ายทุนเทาและแก๊งสแกมเมอร์ กดดัน “อนุทิน ชาญวีรกูล” และรัฐบาลสีน้ำเงิน
“จั๊ยย..ไม่ด้านพอ” โยนผ้าขาวยอมไปแล้วหนึ่ง
วรภัค ธันยาวงษ์ ส่งหนังสือถึง “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ขอลาออกจากตำแหน่งรมช.คลัง ให้เหตุผลว่า จากสถานการณ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ จำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินกระบวนการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิ ชื่อเสียง และเกียรติ ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเห็นว่า เรื่องส่วนตัวอาจส่งผลกระทบต่อความคล่องตัว และประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจของรัฐบาลโดยรวม
“เพื่อเป็นการยืนยันหลักการความโปร่งใส และเพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินงานได้อย่างอิสระ ปราศจากข้อครหาใดๆ จึงขอลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง”
เปรียบเป็นหมากรุก ก็เท่ากับ “นายกฯหนู” สูญเสียโคนในกระดานไป 1 ตัว
เหตุผลที่ขอลาออก เพื่อใช้เวลาไปฟ้องร้องดำเนินคดี กับผู้ที่นำข้อมูลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งสแกมเมอร์ มาเปิดเผย คงเป็นแค่หนึ่งในข้ออ้าง ปัจจัยหลักคือ ข้อมูลเริ่มโยงลึกเข้ามาถึงหลังบ้าน และน่าจะลามไปถึงบุคคลในรัฐบาลอีกหลายคน
ก็เลยต้องยอมเสียอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิตไว้
แม้รัฐบาลสีน้ำเงินชุดนี้ จะมีสายแข็งคอยเป็นแบ็กอัพ แต่พอโดนพาดพิงกับเรื่องราวฉาวโฉ่ ที่จะทำให้แบ็กอัพพลอยต้องกระดำกระด่างไปด้วย ก็เลยต้องคิดกันหนัก และไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาฮันนีมูน จะสั้นถึงเพียงนี้
กับรายชื่อคณะรัฐมนตรี ที่อยู่ในโผก่อนแต่งตั้ง มีชื่อรัฐมนตรีหลายคน ถูกทักท้วงว่ามีเอี่ยวทุนเทา แต่ด้วยความมั่นใจในอำนาจแฝงหนุนหลัง เลยไม่ได้ยี่หระกับเสียงครหา
นี่แค่นับหนึ่ง ขบวนการแฉกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งสแกมเมอร์ เครือข่ายฟอกเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ข้อมูลเหล่านี้อยู่ในบัญชีดำสหรัฐฯ ที่มี CIA กับ FBI เป็นแม่งานใหญ่ ร่วมกันปราบปรามกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอังกฤษ และชาติในยุโรป
กลายเป็นแรงกดดันประเทศไทยให้ต้องขยับ นำมาเป็นเงื่อนไขหลักเพิ่มแรงต่อรองในสถานการณ์ความขัดแย้งกับกัมพูชา จนสุดท้ายฝ่ายเขมรก็ทนไม่ไหว ต้องยอมรับเงื่อนไขร่วมปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ในวงเจรจาหารือ GBC – JBC
ปมทุนเทากับแก๊งสแกมเมอร์ ถือเป็นจุดเปราะบางของรัฐบาลชุดนี้ ข้อมูลที่ รังสิมันต์ โรม ตัวตึงจากค่ายส้ม พรรคประชาชน ทยอยปล่อยออกมา เดินมาตามเส้นเรื่องที่สอดคล้องกับข้อมูลของ CIA – FBI
มีโอกาสสูงที่จะถูกนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขหากต้องยุบสภาก่อนครบ 4 เดือน ตามที่ นายกฯหนู เคยโยนหิน ส่งสัญญาณยุบสภาเร็วกว่ากำหนด 31 ม.ค.69
และจะยิ่งกลายเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รัฐสภากำลังทำอยู่ ต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง แม้ตอนนี้กฎหมายประชามติ จะมีผลออกมาบังคับใช้แล้วก็ตาม
มีอย่างเดียวคือ กรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญชุดที่มี ณัฐวุฒิ บัวประทุม จากค่ายส้มที่คุมเกมแก้อยู่ ต้องใช้วิธี “ฟาสแทร็ก” รวบรัดกว่าขั้นตอนปกติที่วางไว้
การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่ประชาชนคาดหวัง ได้สำเร็จ จึงยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขา(กระโดง) เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครไว้วางใจ ขั้วน้ำเงิน – พรรคภูมิใจไทย ว่าจะจริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญจริงๆ โดยเฉพาะยังมีด่านสุดท้ายของท่านชาย สว.ฝักถั่ว ที่มีอำนาจล้นฟ้าในการคว่ำร่างฯที่กรรมาธิการแก้ไขเสร็จ
ยิ่งทีมแบ็กอัพไม่ต้องพูดถึง ต้องการเกาะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไปตราบนานเท่านาน
ดังนั้น หากวันยุบสภามาเร็วกว่าที่คาด โดยที่สภาฯไม่ทันได้ตั้งตัว เสนอญัตติเพื่อขอให้รัฐบาลทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ จะเท่ากับว่า ปิดประตูลงกลอน การทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญพร้อมกับวันเลือกตั้ง ทันที
กับฉากปาหี่ที่ นายกฯหนู ขนทีมงาน ไปเจรจากับ กกต. หารือแนวทางการจัดทำประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ และการยกเลิก MOU 2543 – MOU 2544 จึงเป็นแค่บทที่ถูกเซ็ตไว้เท่านั้น
การเมือง การมุ้ง ยุ่งพันตูกันไปหมด
ประชาชนคนไทย ต้องทนดูปาหี่กันอีกกี่ฉาก..!


