“หนู”ปล่อยจอย ทุนเทา กลืนกินไทย

วิกฤติศรัทธารัฐบาลหนู เมื่อปัญหาชาติถูกปล่อยจอย วิกฤติน้ำท่วมยืดเยื้อ และปัญหาทุนเทาที่รุกคืบเข้าสู่การเมืองไทย พร้อมตั้งคำถามต่อบทบาทและทิศทางรัฐบาล

บริหารแบบไม่บริหาร บริหารประเทศแบบปล่อยจอย ปลอดภัยไว้ก่อน..

สไตล์การทำงานแบบ ปลัดประเทศ กลบภาวะผู้นำบกพร่อง

ที่ นายกฯ“หนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ใช้ในยามที่ต้องเผชิญวิกฤติท้าทายในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หรือวิกฤติอุทกภัย น้ำท่วมหลายพื้น ไล่มาตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ

นายกฯ“หนู”ปล่อยจอย ให้ฝ่ายปฏิบัติ คือเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ บริหารสถานการณ์กันไป ตัวเองได้แต่ เออๆ ออๆ พยักหน้าหงึกหงัก

โดยเฉพาะปัญหาความแย้งไทย-กัมพูชา ที่นายกฯยึดสโลแกน “ทหารนำ การเมืองตาม” โยนอำนาจทั้งหมด ให้กองทัพและฝ่ายความมั่นคง ตัดสินใจได้เองโดยอัตโนมัติ ทั้งการตอบโต้ทางยุทธวิธี การใช้กำลังทางทหาร หรือแม้แต่การใช้ยุทโธปกรณ์อาวุธหนัก ตามความหนัก-เบา

หรือการบริหารจัดการน้ำ ในยามที่พี่น้องประชาชน ต้องนอนจมน้ำกันมานานกว่า 3 เดือน โดยเฉพาะในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง-กลางตอนบน ไล่ลามมาถึงพื้นที่ลุ่มต่ำภาคกลาง

“เสี่ยหนู”ก็ยังปล่อยจอย ให้ฝ่ายข้าราชการประจำ ผู้ว่าราชการจังหวัด กรมชลประทาน ฯลฯ บัญชาการไปตาม“รปจ.”

(ระเบียบปฏิบัติประจำ) ผู้นำทำได้แค่ จัดอีเว้นท์ตระเวนน้ำ ไปปลอบขวัญประชาชน

เราจึงได้เห็นภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ ไม่มีการบริหารจัดการผลักดันน้ำลงไปใน ทุ่งรับน้ำ-แก้มลิง ตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงวางแนวทางไว้ให้

น้ำเต็มอ่าง เต็มเขื่อน ตอนบน ขณะที่ทุ่งรับน้ำตอนล่างล้นทะลักไปแล้ว ถ้าเจอพายุหลงฤดูอีกซัก 1 ลูก รับรองซ้ำรอยเดิมปี 54 เป๊ะ

ยิ่ง ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกฯ ออกมาปั่นวาทะกรรมตอบโต้ฝ่ายค้าน พยายามโยนความผิดให้รัฐบาลชุดก่อน อ้างเพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ได้แค่เดือนครึ่ง สวนทางกับวาทะกรรม ผู้นำ“หนู” ที่ชอบโชว์พาวใส่บรรดาข้าราชการ “สั่งงานวันนี้ ต้องเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน”

ผู้นำที่ดีแต่พูด ขณะที่ลิ่วล้อก็มัวแต่ปั่นวาทะกรรม เลี่ยงรับผิด เอาแต่รับชอบแบบนี้

มีตัวอย่าง อดีตผู้นำ ให้เห็นมานักต่อนัก ผลสุดท้าย..จบไม่สวยซักราย

ยังมีอีกปมใหญ่ ทุนเทากลืนกินไทย วันนี้ไม่ใช่แค่ปล่อยให้ลูบหน้าปะจมูก แต่นายกฯ“หนู” ปล่อยให้เหยียบจมูกกันเห็นๆ ทำเป็นนิ่งกลบกระแส กรรมการธุรกรรม ปปง. มีมติสั่งยึด-อายัดบัญชีทรัพย์สิน ชนนพัฒน์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรคกล้าธรรม และพวก รวม 69 รายการ มูลค่ากว่า 159 ล้านบาท

ซึ่งเป็นตัวเลขจิ๊บจ๊อย ในสายตา รังสิมันต์ โรม ตัวตึงค่ายส้ม ที่ตามแกะรอยเส้นทางเงินเทามานาน เพราะน่าจะมีการซุกไว้ในรูปแบบเงินคริปโต ซึ่งยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเท่าไหร่

แต่เอาแค่เฉพาะกลุ่มปริ๊นซ์กรุ๊ป ก็ปาเข้าไปกว่า 5 แสนล้านบาทแล้ว คิดเล่นๆ มีซัก 4-5 แก๊งใหญ่ๆ หักหัวคิว ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน แค่ 5% เงินมันจะมหาศาลขนาดไหน

แล้วถ้ากลุ่มทุนเทาประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งสมัยหน้า จะเกิดอำนาจรัฐปกป้องทุนเทา ที่จะซื้อธุรกิจไทย บริษัทพลังงาน ฯลฯ เปิดร้านรายย่อยแข่งกับคนไทย

สุดท้ายระบบเศรษฐกิจไทย เป็นได้แค่เศรษฐกิจฟอกเงิน ความเสียหายจริงอาจสูงถึงล้านล้านบาท

ก็ต้องตั้งคำถามไปที่รัฐบาลอีกล่ะว่า ขณะที่โลกกำลังล้อมกัมพูชา เรื่องปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ โจรไซเบอร์ แต่พอเกิดเหตุบึมที่แนวชายแดนอีกรอบ ประเด็นก็เปลี่ยนไป

กลายเป็น รัฐบาลไทย ไล่งับประเด็นตามกัมพูชา แบบนี้ใครได้ประโยชน์..?

เมื่อวันนี้รัฐบาลแช่แข็งข้อตกลงสันติภาพ การสะสางแก๊งสแกมเมอร์ก็หยุดลงทันที

สังคมก็ต้องคิดตามคำถามนี้ว่า การเบี่ยงประเด็น เพราะมีคนสมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายใช่หรือไม่

รัฐบาลทำเพื่อผลประโยชน์ชาติหรือผลประโยชน์ตัวเอง เพื่อปูทางไปถึงการเลือกตั้ง

เพราะถ้าตรวจสอบดีๆ อาจเจอ เส้นเงินขแมร์เฒ่า ฮุนเซน

และถ้ายื่นไปที่อินเตอร์โพล กัมพูชาจะเกิดแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ทันที

ทำไมรัฐบาลถึงไม่ขึงพืด ดึงให้โลกมากดดัน ล้อมคอกกัมพูชาต่อไป

ก็นั่นนะซิ.. เป็นคำถามที่ผู้กุมอำนาจไม่อยากตอบ..!


📰 อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ The Mainstream

เรื่องนี้ถึง ปปช. แน่! ไผ่ ลิกค์ จี้ ไอซ์ รักชนก แจงเงินบริจาคพรรค 2 แสน

หนู-อิ๊งค์ วิกฤตสองผู้นำ ความเหมือนที่แตกต่าง กับปัญหาระดับประเทศ