ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ออกมาชี้แจงกรณีดราม่าการเป็นเจ้าภาพ ซีเกมส์ 2025 หลังเกิดปัญหาตั้งแต่ลำโพงสนามไม่ทำงาน ไฟส่องสว่างไม่ครบ รวมถึงเสียงวิจารณ์เรื่องความล่าช้าของการจัดการและความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยระบุว่าเหตุขัดข้องเป็นข้อผิดพลาดเชิงเทคนิค ส่วนงบประมาณไทยต่ำกว่ากัมพูชามาก จึงต้องบริหารอย่างรัดกุม แต่ยืนยันมาตรฐานการแข่งขันยังเป็นไปตามเกณฑ์ พร้อมเดินหน้าเร่งแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำ
ชี้ปัญหาลำโพง–ไฟสนามเป็นเหตุขัดข้องเฉพาะหน้า เร่งแก้ไขทันที
ดร.ก้องศักด ยอดมณี เปิดเผยว่า กรณีลำโพงสนามราชมังคลากีฬาสถานไม่ทำงานระหว่างร้องเพลงชาติ ในคู่การแข่งขันฟุตบอลชายระหว่างเวียดนามกับลาว เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม เป็นความผิดพลาดทางเทคนิคของฝ่ายควบคุมเสียง แม้ทดสอบก่อนแข่งขันแล้วปกติดี แต่ระบบเสียงในสนามกลับไม่ออกจริง เจ้าหน้าที่จึงแก้ไขไม่ทันต่อเวลาการแข่งขันที่ต้องเริ่มตามกำหนด
ภายหลังเหตุการณ์ กกท.ได้ทำหนังสือขอโทษทั้งเวียดนามและลาว พร้อมกำชับให้ทุกสมาคมเตรียมระบบสำรองไว้ทุกสนาม เพื่อป้องกันเหตุซ้ำ ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงระบบของการ “กระจายภาระให้สมาคมกีฬา” ที่อาจไม่พร้อมเท่ากันทุกชนิดกีฬา
ส่วนกรณีไฟสนามราชมังคลาฯ มีบางจุด “แหว่ง” หายไป ผู้ว่าฯ ระบุว่าแม้จะขาดบางดวง แต่ค่าความสว่างยังสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 1,500 ลักซ์ เพียงลักษณะภาพที่เห็นอาจไม่เรียบร้อย จึงมีคำสั่งเสริมไฟจากสนามนครราชสีมา เพื่อไม่ให้เกิดประเด็นวิจารณ์ในทางลบเพิ่มเติม

งบไทยต่ำกว่ากัมพูชากว่าพันล้าน ต้องบริหารอย่างจำกัดท่ามกลางวิกฤตการเมือง
ผู้ว่าฯ กกท. ยอมรับว่า งบประมาณจัดซีเกมส์ของไทยอยู่ที่ประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท น้อยกว่ากัมพูชาที่ใช้กว่า 3,000 ล้านบาทในการเป็นเจ้าภาพครั้งก่อน โดยไทยไม่ต้องสร้างสนามใหม่ แต่ใช้งานสนามเดิมที่รีโนเวทเป็นหลัก แม้ประหยัดงบ แต่ต้องรับความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์หากโครงสร้างเดิมไม่พร้อมเต็มที่
ประเด็นที่ทำให้การใช้งบซับซ้อนขึ้น คือการย้ายสนามจากสงขลามากรุงเทพฯ และชลบุรี หลังเกิดอุบัติภัยในพื้นที่เดิม ทำให้ต้องใช้งบเพิ่มเติมกว่า 160 ล้านบาท รวมถึงไม่สามารถขอ “งบกลาง” เพิ่มได้ เนื่องจากรัฐต้องกันงบไว้ใช้เยียวยาน้ำท่วมทั่วประเทศ
เสียงสะท้อนสำคัญจากผู้ว่าฯ คือ “ระบบกีฬาไทยได้รับงบสนับสนุนน้อยกว่าที่ควร” ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อ ทั้งยังสัมพันธ์กับความไม่ต่อเนื่องทางการเมืองที่ทำให้ทิศทางงบประมาณแปรผันตามรัฐบาลแต่ละชุด
ประเด็นจัดจ้างพิธีเปิดท่ามกลางความผันผวนทางการเมือง
กระแสวิจารณ์การจัดจ้างพิธีเปิดเกิดขึ้นหลังมีผู้โพสต์ในโซเชียลอ้างว่าถูกยกเลิกงานและสูญเงินทุน ผู้ว่าฯ ชี้แจงว่า การยื่นเสนอผลงานของเอกชนทั้ง 4 ราย เป็นเพียง “การเตรียมการล่วงหน้า” ไม่ใช่การจัดซื้อจัดจ้าง เนื่องจากงบปีพิธีเปิดอยู่ในปีงบประมาณ 2569
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนรัฐบาลหลายครั้ง ส่งผลต่อการพิจารณาแนวทางพิธีการที่แต่ละทีมการเมืองมีความชอบแตกต่างกัน แม้ยังไม่มีการล็อกสเปก แต่เป็นธรรมชาติของ “ดุลอำนาจทางการเมือง” ที่ส่งผลต่อความพึงพอใจและการเลือกแนวคิดที่ต้องการนำเสนอในเวทีนานาชาติ
ปัจจุบันมีการคัดเลือกผู้รับงานเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่เจ้าในกระแสดราม่า โดยผู้ว่าฯ ระบุว่าแต่ละรายมีจุดเด่นต่างกัน การคัดเลือกจึงตั้งอยู่บน “ภาพรวมความงาม ความเหมาะสม และความเป็นไทย” มากกว่าประเด็นเฉพาะราย
มาสคอตเปลี่ยนหลายรอบ สะท้อนความไม่เสถียรของรัฐบาลไทย
ผู้ว่าฯ กกท. ยอมรับตรงไปตรงมาว่า การเปลี่ยนรัฐบาลทำให้มาสคอตการแข่งขันถูกปรับใหม่หลายครั้ง จากต้นแบบคล้ายปลากัด กลายเป็น “เดอะสาน 7 สี” ก่อนจะเพิ่มตัวละครที่มีธงชาติเข้ามาในชุดรัฐบาลล่าสุด
การเปลี่ยนซ้ำหลายครั้งสะท้อน “ความไม่แน่นอนทางนโยบาย” ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของการบริหารงานด้านกีฬาและอีเวนท์ระดับนานาชาติ แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาคนปัจจุบันจะเร่งงานเต็มที่ แต่ความต่อเนื่องเชิงนโยบายคือสิ่งที่ผู้จัดงานต้องเผชิญตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ดราม่าป้ายสปอนเซอร์–การประสานงานหลายฝ่าย ก่อนเข้าสู่พิธีเปิดจริง 7 ธันวาคมนี้
นอกจากประเด็นระบบเสียงและไฟสนาม ยังมีกรณีป้ายสปอนเซอร์ขนาดใหญ่ที่ถูกวิจารณ์ว่ารบกวนสายตาผู้ชม ผู้ว่าฯ ระบุว่าได้สั่งถอดออกแล้ว โดยมองว่า LED รอบสนามเพียงพอและไม่ทำลายทัศนวิสัย แม้ฝ่ายการตลาดต้องการให้ลูกค้าเห็นโลโก้โดดเด่น แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมกับมาตรฐานการแข่งขัน
สำหรับพิธีเปิดจะมีการแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ธันวาคม พร้อมเผยรายละเอียดศิลปิน แนวคิด และธีมการแสดง ซึ่งผู้ว่าฯ มั่นใจว่าถึงงบประมาณจำกัด แต่พิธีเปิดจะออกมาสง่างามสมเกียรติ ไม่แพ้เจ้าภาพชาติอื่น


