นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านรายการโทรทัศน์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 โดยยืนยันว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รอกองทัพตรวจสอบกรณีตรวจยึดขีปนาวุธสัญชาติจีนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมเตรียมมาตรการช่วยเหลือคนไทยหลายพันคนที่ต้องการเดินทางกลับประเทศผ่านเที่ยวบินพิเศษ ย้ำการตัดสินใจทุกขั้นอยู่ภายใต้กรอบความมั่นคงแห่งชาติ และเชื่อว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นต้องประกาศกฎอัยการศึก

แจงบทบาทนายกฯ รับผิดชอบความมั่นคง ไม่ลอยตัว
ระหว่างออกรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” นายอนุทิน ชาญวีรกูล ระบุว่า ตนหารือกับฝ่ายความมั่นคงและกองทัพอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดแนวทางปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประเทศ โดยยืนยันว่าบทบาทนายกรัฐมนตรีไม่สามารถ “ลอยตัว” ได้ เพราะความรับผิดชอบสูงสุดอยู่ที่รัฐบาล
นายกรัฐมนตรีอธิบายว่า การตัดสินใจด้านการทหารจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกจากฝ่ายความมั่นคง ทั้งเป้าหมาย การวางกำลัง และการใช้งบประมาณ ซึ่งต้องผ่านกรอบการหารือกับ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่ไม่จำเป็นและรักษาผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว
โต้เสียงวิจารณ์นานาชาติ ย้ำไทยไม่ใช่ฝ่ายเริ่มก่อน
กรณีผู้นำบางประเทศแสดงความเห็นว่าไทยตอบโต้รุนแรง นายอนุทินระบุว่า ผู้นำเหล่านั้นรับฟังข้อมูลจากรายงานภายนอก ขณะที่รัฐบาลไทยมีข้อมูลจากการลงพื้นที่จริง พร้อมย้ำว่าไทยปฏิบัติตามข้อตกลงที่ลงนามกับกัมพูชาอย่างครบถ้วน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้งหมด
นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างชัดเจนว่า ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นความขัดแย้ง และไม่ต้องการให้มีการใช้เครื่องมืออย่างดาวเทียมจากบุคคลหรือประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบการปฏิบัติการทางทหารของไทย พร้อมย้ำหลักการว่า หากต้องการลดความตึงเครียด ทุกฝ่ายควรถอยคนละก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจขยายวงกว้าง
ปัดเกมการเมือง ยุบสภาเพราะไร้เสียงค้ำ
ในประเด็นการยุบสภา นายอนุทินชี้แจงว่า ไม่ใช่การยุบสภาเพื่อหนีการตรวจสอบ แต่เป็นผลจากสถานการณ์ทางการเมืองที่รัฐบาลขาดเสียงสนับสนุนเพียงพอ โดยยืนยันว่าการดำเนินการเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ และเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินผ่านการเลือกตั้ง
นายกรัฐมนตรีระบุว่า หากมีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจด้วยมาตราที่รุนแรงจนรัฐบาลพ้นสภาพ จะส่งผลให้ประเทศเข้าสู่สุญญากาศทางการเมือง ซึ่งไม่เหมาะสมในช่วงที่ประเทศเผชิญปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน จึงย้ำว่าการตัดสินใจทั้งหมดคำนึงถึงเสถียรภาพของประเทศเป็นหลัก
ยืนยันไม่เกี่ยวข้อง “เบน สมิธ” ปัดข่าวเครื่องบิน-เรือยอชต์
นายอนุทินยอมรับว่ารู้จัก เบน สมิธ แต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ใกล้ชิด และยืนยันไม่เคยให้ยืมเครื่องบินส่วนตัวหรือใช้เรือยอชต์ร่วมกันตามที่มีกระแสข่าว โดยระบุว่าแต่ละฝ่ายมีทรัพย์สินของตนเอง และข้อมูลที่เผยแพร่บางส่วนอาจทำให้สังคมเข้าใจคลาดเคลื่อน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พร้อมชี้แจงทุกประเด็นอย่างโปร่งใส เพราะเชื่อว่าความชัดเจนคือสิ่งสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลในช่วงสถานการณ์อ่อนไหวเช่นนี้
เรียกถก สมช. รอผลตรวจขีปนาวุธจีน
ภายหลังจบรายการ นายอนุทินเปิดเผยว่า ได้เชิญ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลายวาระสำคัญ โดยเฉพาะการตรวจยึดระบบขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถียุคที่ 5 รุ่น GAM-102 LR สัญชาติจีน ที่พบในพื้นที่เนิน 500 รวมถึงประเด็นการลักลอบส่งยุทธปัจจัยทางทะเล
นอกจากนี้ ยังมีการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสายลับและทหารรับจ้างจากฝั่งกัมพูชาที่อาจแทรกซึมเข้ามาในประเทศ โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
เตรียมเที่ยวบินพิเศษ รับคนไทยกลับประเทศ
นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือคนไทยที่ต้องการเดินทางกลับประเทศในทุกวิถีทาง หากจำเป็นต้องเช่าเหมาลำเครื่องบินพาณิชย์ก็พร้อมดำเนินการทันที โดยไม่ต้องรอขั้นตอนอนุมัติพิเศษ เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ขณะนี้มีรายงานว่ามีคนไทยตกค้างอยู่หลายพันคน และรัฐบาลจะเร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นต้องขยายพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก ประชาชนสามารถติดตามความคืบหน้าได้จากการแถลงอย่างเป็นทางการของรัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคง


