การเมืองไทย เปลือยกายกันล่อนจ้อน
การเดินหมาก ยุบสภา รอบนี้ของ “หนู หน้าเหลี่ยม” อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ฉวยโอกาสชักดาบอาญาสิทธิ์ ยุบสภา ไม่ใช่ภาวการณ์ตัดสินแบบฉุกละหุกเพราะโดนบีบ
แต่เป็นเพราะความเขี้ยวที่เอาแต่ได้ของ แก๊งเซราะกราว ที่ต้องการกุมอำนาจและความได้เปรียบสูงสุดในหมากกระดานอำนาจนี้
ตอกย้ำชัดเจนว่า MOA มันไม่มีอยู่จริงมาตั้งแต่แรก ก็แค่แหกตา แก๊งเด็กน้อยในสวนส้ม พรรคภูมิใจไทยในอุ้งมือ เนวิน – อนุทิน ไม่มีความคิดแม้เศษเสี้ยวที่จะแก้รัฐธรรมนูญ หรือปฏิบัติตามข้อตกลงใน MOA
เพราะตั้งแต่ขึ้นมาเป็นรัฐบาล เสวยอำนาจในฝ่ายบริหาร รัฐบาลภูมิใจไทย ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ ตามเงื่อนไขใน MOA โยกย้ายข้าราชการครั้งมโหฬาร เพื่อรองรับการใช้อำนาจควบคุมการจัดการเลือกตั้งในมือ รวมไปถึงการอัดฉีดเม็ดเงินแบบโคตรประชานิยม ตามสไตล์ “เน คิด” – “หนู ทำ
รวมไปถึงการปวารณาตัวเป็น พรมเช็ดเท้า กันซะขนาดนี้แล้ว มันก็เลยต้องใช้ ค่ายน้ำเงินต่อท่ออำนาจ ตามสูตร 4X4
ซึ่งการตัดสินใจชิงยุบสภาครั้งนี้ สร้างความได้เปรียบให้แก่พรรคภูมิใจในสนามเลือกตั้งอย่างมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่า การระเบิดศึกกับกัมพูชารอบใหม่นี้ เป็นการเดินงานของ ขั้วฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพื่อให้ “เสี่ยหนู” และรัฐบาลสีน้ำเงิน โหนกระสวยหนีสภาพความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับ มหาอุทกภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ และปักษ์ใต้ ทำคะแนนนิยมดิ่งเหวหนัก
ขณะเดียวกันความสำเร็จจากนโยบาย คนละครึ่งพลัส ที่ปูทางเอาไว้ในเฟสแรก กำลังจะเข้าสู่เฟสสอง ก็เป็นผลงานชิ้นโบแดงที่จะเอามาเก็บแต้มในรอบหน้าได้ การตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า ด้วยกระสุนและพลพรรคบ้านใหญ่ ที่ไล่กวาดต้อนกันมาก่อนหน้านี้ ก็ยิ่งกุมความได้เปรียบเหนือคู่แข่งมากขึ้นไปอีก
การหักหลังค่ายส้ม ล้มกระดานแก้รัฐธรรมนูญ จึงไม่มีผลต่อพรรคภูมิใจไทย เพราะกลุ่มเป้าหมายค่ายน้ำเงิน คือ “สาดกระสุนให้เข้าเป้า” เพียงอย่างเดียว ไม่ได้สนใจในเรื่องนโยบาย หรือแนวทางยกระดับการพัฒนาประเทศ เพราะเจ้าของตัวจริง ที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างหลังค่ายน้ำเงิน ไม่ต้องการอยู่แล้ว
เกมอำนาจ 3 สี กับการเลือกตั้งรอบหน้า อันได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย เมื่อเทียบกันแล้ว พรรคภูมิใจไทย ได้เปรียบที่ ผู้สมัคร สส.เขต จำพวกกลุ่มบ้านใหญ่ บวกอำนาจรัฐในมือ รวมไปถึงกระสุนดินดำที่มีล้นคลังเสบียง
ส่วนพรรคประชาชน เสียที่ภาพลักษณ์จาก “ดีลปีศาจ” ไปโหวตให้ อนุทิน เป็นนายกฯ ให้ภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลกุมอำนาจรัฐ แม้จะยังเน้นย้ำความเป็นพรรคที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง และอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งสร้างความนิยมในพื้นที่เมือง
แต่วันนี้กระแสนั้นถูกจ้องมองด้วยความระแวงแคลงใจ จากคนที่เคยศรัทธา
และพรรคเพื่อไทย ที่ถือเป็นช่วงขาลงของค่ายสีแดงอย่างแท้จริง การยอมหักอุดมการณ์ ไปดีลข้ามขั้วเพื่อเอา ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านอย่างเท่ ๆ
สุดท้ายต้องโดนดักหลังจับขังคุกยาว ไม่สามารถออกมาบัญชาการการเลือกตั้งได้ด้วยตัวเอง ประกอบกับผลงานรัฐบาลเพื่อไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนเหมือนเดิมอีกแล้ว
ไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง ไม่มีเรื่องบังเอิญ มีแต่สคริปที่ผู้มีอำนาจเขียนไว้ให้ฝ่ายการเมืองเดินตาม
ทุกอย่างมันถูกวางแผน เป็นขั้นเป็นตอน และฉากทัศน์ต่อไป เราอาจจะได้เห็น “เสี่ยหนู” รักษาการอำนาจไปยาว ยาววววววววว…
ไทม์ไลน์ที่วางไว้ เราอาจไม่ได้เห็นการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในวันที่ 8 ก.พ.2569 เพราะ “แหวง เซราะกราว” ก็ออกมาเด้งรับลูกไว้หมดแล้ว โดยอ้างเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่อีสานใต้และฝั่งตะวันออก ที่มีสส.รวมกัน 45 คน ได้แก่ บุรีรัมย์ 10 อุบลราชธานี 11 สุรินทร์ 8 ศรีสะเกษ 9 สระแก้ว 3 ตราด 1 จันทบุรี 3
หากยังรบติดพันกันอยู่ หรือสถานการณ์ยังไม่สงบดี กกต.ก็เลื่อนเลือกตั้งไปได้เรื่อยๆ เพราะการเลือกตั้งต้องจัดพร้อมกันทุกหน่วยทั่วประเทศ
แล้ววันนี้ กกต.กห็ชัดเจนอยู่แล้วว่า สีอะไร
แต่ก็จะมีคำถามตามมาว่า ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าอาจไม่สามารถเลือกตั้งได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว แล้วจะรีบยุบสภาไปทำไม และทำไปเพื่อใคร?
คำว่า “ขอคืนอำนาจให้ประชาชน” ที่ “เสี่ยหนู” โพสต์เอาไว้สวยหรู
มันก็แค่วาทะกรรมของ “แก๊งหนู หน้าเหลี่ยม” ก็เท่านั้น


