ลิเกการเมือง ก็ต้องเปิดโรงละคร แถลงชุดนโยบายหาเสียง กันไปเลย
“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเซฟเฮ้าส์สีน้ำเงิน โรงละครอักษรา คิงพาวเวอร์ แถลงนโยบายในการเลือกตั้ง
ก๊วนบ้านใหญ่ มากันพร้อมหน้าพร้อมตา “วราวุธ ศิลปอาชา” “เอกนัฏ พร้อมพันธ์” “สนธยา คุณปลื้ม” “สุชาติ ชมกลิ่น” ที่ขาดไม่ได้ ยาสามัญทีมเศรษฐกิจสีน้ำเงิน “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” ที่มีชื่อถูกทาบทามเป็นแคนดิเดตนายกฯ
งานนี้นอกจาก “เสี่ยหนู” จะชูชุดนโบายประชานิยมแบบจัดเต็ม ทั้งจะเปิดรับสมัครทหารอาสา 1 แสนคน มารับราชการเป็นทหาร 4 ปี เงินเดือนหมื่นสอง อัดฉีดคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ต่อเนื่อง หัวละ 2,400
ที่ชัดเจนจากปาก “เสี่ยหนู” คือหากภูมิใจไทยกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกรอบ “เสี่ยหนู”ได้รีเทิร์นเก้าอี้ผู้นำรอบสอง “เอกนิติ-ศุภจี-สีหศัหกดิ์” จะขยับขึ้นแท่นเป็นรองนายกฯ ควบเก้าอี้เสนาบดีตัวเดิม คุมงานเดิม แต่ภาระกิจบิ๊กเบิ้มขึ้น
ก่อนจะสารภาพว่า ไม่สามารถไปบังคับฝืนใจใคร ให้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของภูมิใจไทยได้
พูดแบบเข้าใจธรรมชาติของทั้ง 3 คน ที่ยังไม่คุ้นชินกับแรงปะทะทางการเมือง แต่ก็ยังหยอดเอาไว้ว่า “แต่เดี๋ยวก็ชิน” เพราะต้องโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่ แล้ววันนั้นเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของเรา วันนี้มองเขาเป็นคนนอกไม่ได้แล้ว เขาอาจไม่ชินระบบแต่การทำงานเขาคือคนใน
ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจาก “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” โฆษกรัฐบาล รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่าแคนดิเดตนายกฯพรรค คือ“อนุทิน”เพียงหนึ่งเดียว
งานนี้คนที่หน้าแตกตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที คือ “นายกฯหนู” ที่ลักไก่ปล่อยข่าว ปูดชื่อ “เอกนิติ-ศุภจี” มาแรมเดือน สุดท้ายก็แห้วรับประทาน
“ข้าวนอกนา” ยังไม่กล้าลงมาจมปลักกับฝุ่นโคลนการเมือง

ทางด้านค่ายส้ม ดูท่าจะเข็ดขยาดขี้อ่อนขี้แก่ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ยืนยันเป็นรอบที่ร้อย จะไม่มีเสียง สส.พรรคประชาชน ไปโหวตให้ “อนุทิน” เป็นนายกฯอีกแน่
จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก ไม่ไว้ใจคนที่หักหลังซ้ำสอง
มันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้ามีอีกก็ล้างกระดานค่ายส้ม พ้้นไปจากระบอบประชาธิปไตยได้เลย
ส่วนอีกพรรค พลังประชารัฐ สุดท้าย “บิ๊กบราเธอร์บ้านป่า” ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ฝืนสังขารตัวเองไม่ไหว ยอมถอนตัวจากการเป็น แคนดิเดตนายกฯพปชร. พร้อมดัน “ตรีนุช เทียนทอง” ขึ้นแท่นเบอร์ 1 แทน ลูกพรรคพากันระส่ำระสาย
ดูท่าแล้วงานนี้ มีสิทธิ์ “ป่าแตก”
ท่ามกลางข้อสงสัยว่า เลือกตั้งจะมีมั๊ย มติครม. สดๆ ร้อนๆ อนุมัติตามที่สำนักงานกกต. ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จากงบกลาง เป็นค่าใช้จ่ายจัดการเลือกตั้งสส. และการออกเสียงประชามติ ในวันเดียวกัน
รวมทั้งสิ้น 8,978,267,690 บาท
โดยเป็นค่าใช้จ่ายจัดการเลือกตั้งสส. 6,750 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายการออกเสียงประชามติ 525 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายสนับสนุนเจ้าหน้าที่ ทั้งกรมการปกครอง กระทรวงต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กทม. กรมประชาสัมพันธ์ อีก 1,700 ล้านบาท
ไม่รู้ว่าค่าเงินบาทมันเฟ้อหรือยังไง รัฐบาลถึงมือเติบ อัดฉีดให้กกต. เฉียด 9 พันล้านบาท สำหรับจัดเลือกตั้งและออกเสียงประชามติ ในคราเดียว
ในสภาวะที่กระเป๋าตังค์ประชาชน ฝืดเคืองขนาดนี้ หลายคนคงอยากรู้รายละเอียด เอาไปใช้ด้านไหนบ้าง
ต้นทุนประชาธิปไตยของประเทศไทยนี่มันแพง ฉิบ..

