อินเดีย-ปากีสถานสู่โหมดตึงเครียด ชนวนสนธิสัญญาระบบน้ำสินธุ

ความตึงเครียดกำลังปะทุขึ้นระหว่างอินเดียและปากีสถาน จากประเด็นสนธิสัญญาระบบน้ำสินธุ หลังจากที่รัฐบาลปากีสถานปฏิเสธข้อเรียกร้องของอินเดียที่ให้มีการทบทวนเงื่อนไขในสัญญาที่มีอายุ 64 ปีเสียใหม่ เพราะปัจจัยสภาพอากาศเปลี่ยนและประชากรที่เพิ่มมากขึ้น 

วันที่ 9 ตุลาคม 2024 นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานกำลังปะทุขึ้น จากประเด็นสนธิสัญญาระบบน้ำสินธุ หลังจากรัฐบาลปากีสถานปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัฐบาลอินเดียที่ต้องการเปลี่ยนเงื่อนไขในสัญญาที่บังคับใช้มา 64 ปี จากปัจจัยด้านสภาพอากาศและการเติบโตของประชากร

ตามที่ฝ่ายอินเดียได้ยื่นหนังสือแจ้งถึงปากีสถานเกี่ยวกับการทบทวนเงื่อนไขในสัญญาระบบน้ำสินธุ หรือ Indus Waters Treaty (IWT) เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ปากีสถานคัดค้าน ซึ่งหลัก ๆ แล้วที่รัฐบาลสองฝ่ายเห็นต่างกันคือ แผนการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำของอินเดียจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ คิชานคงคา (Kishanganga) และรัทเทิล (Ratle) ในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ แต่ประเด็นคือโครงการดังกล่าวสร้างบนแม่น้ำที่ฝ่ายปากีสถานควบคุมอยู่

ปากีสถานแย้งว่า โปรเจ็กต์ดังกล่าวจะลดปริมาณน้ำที่ประเทศได้รับจากแม่น้ำเจนาบและแม่น้ำเชลัม ซึ่งต่างเป็นสาขาของแม่น้ำสินธุ และตามสนธิสัญญาฉบับนี้ที่ลงนามเมื่อปี 1960 ซึ่งมีธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์เป็นผู้อำนวยความสะดวกช่วยให้สองประเทศบรรลุข้อตกลงนั้น กำหนดให้แม่น้ำสาขาของสินธุและแม่น้ำสินธุอยู่ภายใต้อำนาจและความรับผิดชอบของฝ่ายปากีสถาน ส่วนอินเดียควบคุมแม่น้ำสาขาของสินธุ 3 สาย ได้แก่ ราวี สตลุช และบีอาส

ตามข้อกำหนดอนุญาตให้อินเดียพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำบนแม่น้ำ ภายใต้เงื่อนไขการไหลของน้ำตามธรรมชาติและไม่เปลี่ยนเส้นทางการไหลของน้ำ และเงื่อนไขยังกำหนดให้ 20% ของน้ำเป็นของอินเดีย ในขณะที่ปากีสถานสามารถเข้าถึงน้ำที่เหลือทั้งหมด ทำให้ฝ่ายปากีสถานแทบไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใด ๆ ในสัญญา

อีรัม สัตตาร์ อาจารย์ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับแม่น้ำสินธุ และผู้อำนวยการโครงการการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยทัฟส์ในสหรัฐกล่าวว่า สนธิสัญญาทำให้ปากีสถานบรรลุมาตรฐานทางเศรษฐกิจในการจัดการความเสี่ยงเพื่อรักษาความมั่นคงของทรัพยากรน้ำสำหรับประเทศในระยะยาว

ฝ่ายอินเดียแย้งว่า โลกเปลี่ยนไปนับตั้งแต่การลงนามสนธิสัญญาและสองประเทศจำป็นต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้

ราชกุมาร ชาร์มา นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันนาฏสตราต (NatStrat) องค์กรวิจัยด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงในกรุงนิวเดลีกล่าวว่า ปัจจัยเหล่านี้ตามที่อินเดียกล่าวอ้าง รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในลุ่มแม่น้ำสินธุ การทับถมของตะกอน การเพิ่มขึ้นของประชากร และความจำเป็นของอินเดียที่จะผลิตพลังงานสะอาด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอน และว่าอินเดียไม่น่าจะละทิ้งข้อเรียกร้องให้แก้ไขสนธิสัญญา แต่กลับจะเรียกร้องเพิ่มมากขึ้น และยิ่งเพิ่มความตึงเครียดต่อกลไกต่าง ๆ เกี่ยวกับลุ่มน้ำสินธุที่สองฝ่ายต่างใช้ร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายอินเดียยังไม่มีความชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนสิ่งใดบ้างในสนธิสัญญา บางฝ่ายคาดว่าการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงอาจเป็นวิธีที่ไปสนองต่อเป้าหมายทางการเมืองของรัฐบาลอินเดีย ส่วนคนอื่น ๆ มองว่าอินเดียกำลังใช้ทรัพยากรน้ำในฐานะที่เป็นวิธีกดดันให้ปากีสถานใช้มาตรการเพิ่มเติมในการควบคุมผู้แบ่งแยกดินแดนในแคว้นแคชเมียร์ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

เจ้าหน้าที่รัฐบาลปากีสถาน ซึ่งรับผิดชอบปัญหาเรื่องน้ำกล่าวว่า หากรัฐบาลปากีสถานยังคงขัดขวางความพยายามของรัฐบาลอินเดียในการเจรจาสนธิสัญญาใหม่ ปฏิกิริยาของอินเดียอาจรุนแรงขึ้นในรูปแบบของการกดดันปากีสถานผ่านองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ มากขึ้น เนื่องจากอินเดียมีมิตรในระดับโลกที่มากกว่าปากีสถาน

เมื่อถูกถามว่าข้อพิพาทเรื่องสนธิสัญญาอาจกลายเป็นอีกชนวนความขัดแย้งในความสัมพันธ์สองประเทศที่อ่อนแออยู่แล้วหรือไม่ ฮาร์ช วี.พันท์ ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน กล่าวตอบว่า ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ

ตำรวจไซเบอร์บุกจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน

การเมืองวนลูป ประเทศถอยหลัง