กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังดำเนินการจัดตั้ง สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) เพื่อยกระดับการค้ำประกันสินเชื่อและการออกหุ้นกู้ โดยมีแผนควบรวมกับบริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ภายในปี 2569

การจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ

นาย เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังและ ธปท. ได้ยกร่างพระราชบัญญัติสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. …. เพื่อก่อตั้ง NaCGA โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทย

บทบาทและหน้าที่ของ NaCGA

NaCGA จะทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงและค้ำประกันเครดิตให้กับลูกหนี้ ครอบคลุมทั้งสินเชื่อจากสถาบันการเงินและ Non-Bank รวมถึงการออกหุ้นกู้ โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้:

1. ผู้ขอสินเชื่อติดต่อ NaCGA เพื่อพิจารณาค้ำประกันเครดิตก่อนยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน
2. NaCGA ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการ และออกใบค้ำประกันเครดิต โดยผู้ขอสินเชื่อจ่ายค่าธรรมเนียมตามระดับความเสี่ยง
3. ผู้ขอสินเชื่อนำใบค้ำประกันเครดิตไปยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
4. สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอสินเชื่อ เนื่องจากมี NaCGA รับประกันความเสี่ยงแล้ว
5. หากผู้ขอสินเชื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ NaCGA จะรับความเสี่ยงกับสถาบันการเงินตามเงื่อนไขที่กำหนด

โครงสร้างการบริหารและแหล่งทุนของ NaCGA

NaCGA จะบริหารงานโดยคณะกรรมการสองชุด ได้แก่ คณะกรรมการกำกับนโยบาย ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน และคณะกรรมการกำกับดูแลการดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา

แหล่งทุนของ NaCGA มาจากเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากผู้ประกอบการ เงินสมทบจากธนาคารตามสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจ และเงินสมทบจาก Non-Bank ที่เลือกใช้บริการของ NaCGA

การควบรวมกับ บสย. และการยกระดับบริการ

หลังจากพระราชบัญญัติสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. …. มีผลบังคับใช้ ภายใน 1 ปี จะมีการควบรวม บสย. เข้ากับ NaCGA โดยระบบค้ำประกันแบบเดิมในพอร์ตของ PGS จะยังคงอยู่ แต่จะลดขนาดลงเรื่อย ๆ และเปลี่ยนระบบค้ำประกันมาเป็นแบบรายบุคคล เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้ผู้ประกอบการและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยต้นทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงรายบุคคล

ข้อมูล/ภาพ : ฐานเศรษฐกิจ