Skip to content7 มีนาคม 2568: วันสำคัญที่ผู้บริโภคต้องจับตา!
สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับค่าไฟฟ้างวดใหม่ วันที่ 7 มีนาคม 2568 ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้บริโภคจะได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงสร้างค่าไฟในอนาคต
เนื่องจากค่าไฟฟ้าในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามต้นทุนเชื้อเพลิง นโยบายภาครัฐ และหนี้สะสมที่ยังค้างอยู่ หากประชาชนไม่แสดงจุดยืนในการประชุมครั้งนี้ อาจส่งผลให้ค่าไฟยังคงสูงขึ้นโดยไม่มีมาตรการที่สมเหตุสมผล
ค่าไฟฟ้าอาจลดลง 17 สตางค์ แต่ยังมีข้อจำกัด
กกพ. ได้เสนอแนวทาง ปรับลดค่าไฟ 17 สตางค์ต่อหน่วย จากอัตราปัจจุบันที่ 4.15 บาทต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม การลดลงนี้ยังต้องผ่านการพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาจมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ไม่สามารถลดได้เต็มจำนวน
ขณะเดียวกัน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีนโยบายผลักดันให้ลดค่าไฟลงถึง 40 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการแทรกแซงทางการเมืองมากกว่าการพิจารณาตามต้นทุนที่แท้จริง ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าการลดค่าไฟในลักษณะนี้อาจทำให้โครงสร้างพลังงานของประเทศเสียสมดุล และอาจส่งผลกระทบในระยะยาว
ปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟฟ้ายังคงสูงขึ้น
แม้จะมีการพยายามปรับลดค่าไฟ แต่ยังมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ผู้บริโภคยังต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น โดยเฉพาะจากการตัดสินใจของภาครัฐที่อาจไม่ได้คำนึงถึงเสถียรภาพของพลังงานในระยะยาว
1. ภาระหนี้ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ที่ค้างอยู่
- กฟผ. ยังคงมีภาระหนี้ที่ค้างจ่ายอยู่กว่า 80,000 ล้านบาท
- ปตท. มีภาระหนี้ค่าไฟอีก 15,000 ล้านบาท
- การจัดการหนี้เหล่านี้ต้องใช้แนวทางที่รอบคอบ มิฉะนั้นอาจเป็นภาระที่ตกอยู่กับประชาชน
2. นโยบายสั่งระงับการขุดถ่านหินจากเหมืองแม่เมาะ
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนค่าไฟเพิ่มขึ้น 8 สตางค์ต่อหน่วย คือ การสั่งหยุดขุดและขนส่งถ่านหินจากเหมืองแม่เมาะของนายพีระพันธุ์ ซึ่งส่งผลให้ไทยต้อง นำเข้าถ่านหินจากต่างประเทศในราคาที่สูงขึ้น
แทนที่รัฐบาลจะสนับสนุนให้ กฟผ. ใช้ทรัพยากรภายในประเทศเพื่อควบคุมต้นทุน กลับมีนโยบายที่อาจทำให้ต้นทุนพลังงานสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น
3. ราคาพลังงานหมุนเวียนที่ยังแพง
แม้ว่าพลังงานแสงอาทิตย์และลมจะมีราคาลดลงทั่วโลก แต่พลังงานหมุนเวียนบางประเภท เช่น กรีนไฮโดรเจนและระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Storage) ยังคงมีต้นทุนสูง
การเร่งผลักดันพลังงานสะอาดโดยไม่มีมาตรการรองรับที่ดีพอ อาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านที่ไม่เป็นธรรม
4. ความไม่แน่นอนของนโยบายพลังงานไทย
- การแทรกแซงค่าไฟของฝ่ายการเมือง ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดพลังงาน
- การกดราคาค่าไฟในระยะสั้น อาจส่งผลเสียต่อภาคพลังงานในระยะยาว
- นโยบายบางอย่างขัดแย้งกับแนวทางของภาคธุรกิจพลังงานที่ต้องการให้เกิดเสถียรภาพ
แนวทางของ กกพ. ในปี 2568: เสริมความมั่นคงพลังงานและลดต้นทุนที่แท้จริง
กกพ. ได้วางแผนดำเนินการ 4 ประเด็นหลักเพื่อช่วยให้ค่าไฟมีเสถียรภาพมากขึ้น ได้แก่
1. พัฒนาตลาดกลางพลังงานสีเขียว (Green Energy Marketplace)
- เปิดให้บริการไฟฟ้าสีเขียวแบบไม่เจาะจงแหล่งที่มา (UGT1) ในเมษายน 2568
- เปิดรับสมัครไฟฟ้าสีเขียวแบบเจาะจงแหล่งที่มา (UGT2) ในมิถุนายน 2568
2. สนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าผ่าน Direct PPA
- เปิดให้เอกชนซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนโดยตรง
- จัดทำกฎเกณฑ์และแนวทางการใช้โครงข่ายไฟฟ้าสำหรับบุคคลที่สาม (Third-Party Access)
3. เพิ่มการแข่งขันในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
- ปรับปรุงการใช้ LNG Terminal เพื่อให้การนำเข้าก๊าซมีประสิทธิภาพขึ้น
- จัดทำระบบข้อมูลราคาก๊าซให้ประชาชนเข้าถึงง่ายขึ้น
4. รองรับเทคโนโลยีพลังงานใหม่
- ศึกษาเทคโนโลยีพลิกโฉม เช่น Demand Response, Microgrid, Battery Storage และ EV
- ปรับปรุงกฎระเบียบให้รองรับ Smart Grid และเทคโนโลยีอนาคต
ผู้บริโภคต้องเตรียมพร้อม และอย่าให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง!
แม้ว่ากกพ. จะพยายามหาทางลดค่าไฟให้เหมาะสม แต่ การตัดสินใจของภาครัฐ เช่น การระงับการขุดถ่านหินแม่เมาะของนายพีระพันธุ์ กลับทำให้ต้นทุนค่าไฟเพิ่มขึ้น 8 สตางค์ต่อหน่วยโดยไม่จำเป็น
หากรัฐต้องการลดค่าไฟอย่างแท้จริง ควร ปล่อยให้ตลาดพลังงานดำเนินไปตามกลไกของมันเอง สนับสนุนผู้ผลิตพลังงานที่สามารถบริหารต้นทุนได้ดี และไม่ออกนโยบายที่สร้างภาระโดยไม่จำเป็นแม้ว่ากกพ. จะพยายามหาทางลดค่าไฟให้เหมาะสม แต่ การตัดสินใจของภาครัฐ เช่น การระงับการขุดถ่านหินแม่เมาะของนายพีระพันธุ์ กลับทำให้ต้นทุนค่าไฟเพิ่มขึ้น 8 สตางค์ต่อหน่วยโดยไม่จำเป็น
📌 7 มีนาคม 2568 คือโอกาสสำคัญที่ประชาชนต้องใช้เสียงของตนเองในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค่าไฟ หากเราไม่ส่งเสียง เราอาจต้องจ่ายค่าไฟที่แพงขึ้นจากนโยบายที่ไม่โปร่งใส
