ศาลพิพากษาจำคุก พิรงรอง รามสูต: ผลกระทบต่อสังคมและการคุ้มครองผู้บริโภค
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาจำคุก ศาสตราจารย์กิตติคุณ พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยไม่รอลงอาญา กรณีข้อพิพาทระหว่าง ทรูไอดี (True ID) และ กสทช. ซึ่งถูกตีความว่าเป็น “การกลั่นแกล้ง” และ “ทุจริต”
คำพิพากษานี้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ทั้งจากเครือข่ายสื่อ นักวิชาการ และประชาชนที่ออกมาให้การสนับสนุนพิรงรอง พร้อมติดแฮชแท็ก #saveพิรงรอง และ #Freeกสทช บนแพลตฟอร์มออนไลน์ อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ผลกระทบของคดีนี้ต่อสังคมและระบบกำกับดูแลสื่อจะเป็นอย่างไร?
กรณี พิรงรอง สะท้อนปัญหาของระบบกำกับดูแลสื่อ
รศ.ดร.นิธิดา แสงสิงแก้ว จากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า กรณีนี้เริ่มต้นจากการร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาด้านโฆษณาและเนื้อหาของแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่ง กสทช. มีหน้าที่ตรวจสอบตามกระบวนการทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้กลับถูกลดทอนให้กลายเป็นเรื่องส่วนบุคคลของพิรงรอง แทนที่จะพิจารณาในแง่ของโครงสร้างการกำกับดูแลสื่อโดยรวม
“ถ้าเรานำกรณีนี้ไปเป็นกรณีศึกษาในห้องเรียน จะเห็นว่ามีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย ทั้งประชาชน ผู้ให้บริการสื่อ นักวิชาการ และหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งทั้งหมดนี้ควรถูกวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อให้เข้าใจว่าการตัดสินของศาลมีผลอย่างไรต่อระบบสื่อสารมวลชนและสิทธิของผู้บริโภค” รศ.ดร.นิธิดากล่าว

ผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภค
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค แสดงความคิดเห็นว่าคำพิพากษานี้อาจทำให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคต้องระมัดระวังมากขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในอนาคต
“การที่ อ.พิรงรอง ถูกลงโทษจากการทำหน้าที่ตามกระบวนการปกติ ทำให้เกิดคำถามว่าต่อไปนี้ ใครจะกล้าทำหน้าที่ปกป้องผู้บริโภค หากทุกครั้งที่มีการตรวจสอบหรือร้องเรียนจะถูกตีความว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ เราผิดหวังกับคำพิพากษา และกังวลว่ากรณีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานที่กระทบต่อการคุ้มครองสิทธิของประชาชน” สารีกล่าว

ช่องว่างในการกำกับดูแลสื่อและแพลตฟอร์ม OTT
ดร.ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน การกำกับดูแลสื่อไทยมีช่องว่างสำคัญ โดยเฉพาะระหว่างผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบดั้งเดิมกับแพลตฟอร์ม OTT (Over-the-Top) ซึ่งให้บริการเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ต
“โทรทัศน์ดิจิทัลต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หลายประการ เช่น การคุ้มครองผู้บริโภค การจำกัดโฆษณา และข้อกำหนดด้านเนื้อหา แต่แพลตฟอร์ม OTT จำนวนมากไม่อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน แม้ว่าจะให้บริการเนื้อหาลักษณะเดียวกัน” ดร.ชนัญสรากล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า หากไม่มีการปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมแพลตฟอร์มดิจิทัล อาจนำไปสู่ปัญหาทางการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และความไม่ชัดเจนในการคุ้มครองผู้บริโภค

คำถามถึงอนาคต: ผู้บริโภคได้อะไรจากคดีนี้?
ผศ.ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสังเกตว่า คำตัดสินของศาลในคดีนี้ อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค โดยทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าต่อไปนี้ ผู้บริโภคจะยังสามารถร้องเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาสื่อได้หรือไม่
“ตามหลักการแล้ว หากผู้บริโภครู้สึกว่า เนื้อหาสื่อหรือโฆษณาสร้างความเสียหาย พวกเขาควรมีสิทธิร้องเรียน และหน่วยงานกำกับดูแลควรมีหน้าที่ตรวจสอบ แต่เมื่อกรณีนี้จบลงด้วยการที่ ผู้ตรวจสอบถูกลงโทษ มันอาจส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความลังเลในการร้องเรียน และส่งสัญญาณว่าการกำกับดูแลสื่ออาจไม่สามารถปกป้องสิทธิของประชาชนได้อย่างแท้จริง” ผศ.ดร.พรรษาสิริกล่าว
อนาคตของการกำกับดูแลสื่อในไทย
กรณีของ พิรงรอง รามสูต เป็นตัวอย่างของความท้าทายในระบบกำกับดูแลสื่อของไทย ซึ่งมีทั้ง ข้อจำกัดทางกฎหมาย ช่องว่างในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล และปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภค คำถามสำคัญที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ รัฐและหน่วยงานกำกับดูแลจะสามารถรักษาความสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภค และการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างไร

ข้อมูล/ภาพ : ไทยรัฐ