นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างหารือกับสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางบริหารหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกัน โดยเน้นกลุ่มลูกหนี้ที่มีหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งมีสัดส่วนราว 35% ของหนี้เสียทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 400,000 ล้านบาท จากหนี้เสียรวม 1.22 ล้านล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นหนี้จากการบริโภค เช่น สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต และอยู่ในกลุ่มที่ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” หรือไม่สามารถติดต่อได้
แผนจัดการหนี้เสียเฟส 2 รัฐจับมือสถาบันการเงิน หวังดึงลูกหนี้กลับสู่ระบบ
แนวทางการแก้ปัญหาในเฟสใหม่นี้จะเป็นการเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีหนี้เสียไม่มีหลักประกันและมูลหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท โดยกลุ่มนี้ธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้แล้ว 100% รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะซื้อหนี้มาบริหาร หรือจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะ เช่น หน่วยงานบริหารหนี้ (AMC) แห่งชาติ ซึ่งยังอยู่ระหว่างหารือรูปแบบการจัดการที่เหมาะสม
นายพิชัยระบุว่า กลุ่มเป้าหมายนี้มีจำนวนมากถึง 35% ของหนี้เสียทั้งระบบ โดยรัฐจะเข้าไปทำงานร่วมกับเจ้าหนี้ ผู้ที่จะมาจัดการหนี้ และภาครัฐเอง เพื่อหาวิธีผ่อนปรนให้ลูกหนี้กลับมาผ่อนชำระได้อีกครั้ง รวมถึงมีการพิจารณาเรื่องการล้างประวัติหนี้เสีย ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้
หนี้ครัวเรือนไทยพุ่ง 13 ล้านล้าน หนี้ต่ำกว่าแสนบาทสูงถึง 35%
หนี้ครัวเรือนของประเทศไทย ปัจจุบันมีมูลค่ารวมกว่า 13 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็น 9 ล้านบัญชี จากจำนวนลูกหนี้ราว 5 ล้านราย โดยเมื่อวิเคราะห์ในเชิงลึกพบว่า กลุ่มที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท มีสัดส่วนสูงถึง 35% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด
หากสามารถดูแลและแก้ไขหนี้จำนวนน้อยเหล่านี้ได้ จะส่งผลให้ภาพรวมของหนี้ครัวเรือนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม นายพิชัยย้ำว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ระดับประเทศไม่สามารถแล้วเสร็จภายใน 3-6 เดือน และต้องใช้ความร่วมมือจากทั้งเจ้าของหนี้ หน่วยงานจัดการ และภาครัฐ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ทั้งนี้ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะให้ ธนาคารออมสิน ซึ่งมี AMC ภายในองค์กรอยู่แล้ว เข้ามาร่วมบริหารจัดการด้วยหรือไม่ เนื่องจากออมสินเองก็มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร
ธปท. ผ่อนเกณฑ์ LTV ชั่วคราว กระตุ้นภาคอสังหาฯ ถึงกลางปี 2569
นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังชะลอตัวและไม่มีสัญญาณฟื้นชัดเจน ธปท. จึงเห็นควรให้ ผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ชั่วคราว
โดย สาระสำคัญของการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ครั้งนี้ คือ:
- อนุญาตให้ปล่อยสินเชื่อได้ 100% ของมูลค่าหลักประกัน
- สำหรับกรณี:
- มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท: ใช้ได้ตั้งแต่ สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป
- มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป: ใช้ได้ตั้งแต่ สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป
มาตรการนี้มีผลเฉพาะ สัญญาเงินกู้ที่ทำตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาอสังหาริมทรัพย์ที่คงค้าง และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินของประเทศ

ข้อมูล/ภาพ : ไทยรัฐ