เบื้องหลังราคาถูกที่ไม่เคยถูกใจนายทุน และความพยายามใหม่ของรัฐในการ “เอาคืนอำนาจ”
ในวันที่เสียงรถไฟฟ้ายังวิ่งฉิวผ่านเมืองหลวงพร้อมเสียงโอดครวญจากผู้โดยสารเรื่องค่าโดยสารแพงหูฉี่ อีกด้านหนึ่งของวงล้อการเมืองก็กำลังหมุนอย่างเงียบๆ แต่เด็ดขาด
กระทรวงคมนาคมภายใต้การนำของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกโรงประกาศเดินหน้ารื้อสัญญาเก่าเพื่อปลุกชีพนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. อยู่ระหว่างจัดทำแผนขับเคลื่อนเพื่อให้รถไฟฟ้า 8 สาย ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ สามารถเก็บค่าโดยสารในราคานี้ได้จริง แต่การเดินเกมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปรับตัวเลขในระบบตั๋ว หากแต่ต้องแก้ “ราก” ของปัญหา — สัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนที่ฝังลึกมานาน
เพราะถ้ายังยึดเงื่อนไขเดิม ราคาก็จะยังพุ่งไม่หยุด แม้รัฐจะอยากลดก็ทำไม่ได้
แผนการแก้สัญญาไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นการพลิกสมดุลอำนาจระหว่างรัฐกับทุน ต้องอาศัยมาตรา 46 ถึง 48 ของกฎหมายร่วมทุนฯ ปี 2562 มาเป็นตัวเปิดทางให้รัฐมีสิทธิเข้าไปเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างการหารายได้ การแบ่งผลประโยชน์ หรือการชดเชยให้เอกชน
แต่ระหว่างบรรทัดของกระบวนการทางกฎหมายที่รัฐพยายามเดินให้ครบถ้วน ความยากจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ตัวบท แต่อยู่ที่ว่าเอกชนจะยอมให้แก้หรือไม่
อีกด้านหนึ่งของหมากนี้ ก็คือการจัดระบบใหม่เพื่อรองรับผู้โดยสาร โดยในระยะแรก คนไทยที่จะได้สิทธิ์ใช้บริการ 20 บาท ต้องมีเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันของรัฐ
บางคนอาจมองว่าเป็นแค่ขั้นตอนเล็กๆ แต่ในโลกความจริง นี่คือด่านแรกของการ “คัดกรอง” ว่ารัฐพร้อมรองรับคนกี่ล้านคน จะมีระบบเพียงพอไหม และใครจะตกหล่นจากมาตรการนี้บ้าง
รัฐวางแผนเปิดให้ลงทะเบียนในเดือนสิงหาคม ก่อนจะเริ่มใช้จริงกันยายน 2568 ซึ่งหมายความว่า เวลานี้คือนาทีทองของทุกฝ่าย — ทั้งเจ้าหน้าที่ รฟม. หน่วยงานด้านราง นักเจรจารัฐ-ทุน และฝ่ายนโยบายที่ต้องเดินหน้าเต็มสูบ
สุริยะบอกชัดว่า แผนทั้งหมดจะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคมปีหน้า ก่อนลงนามแก้ไขสัญญา เพื่อให้คนไทยได้ขึ้นรถไฟฟ้า 20 บาทภายในเดือนกันยายนนั้นทันที
แต่เส้นทางนี้ยังไม่สิ้นสุดแค่ปี 2568 เพราะคมนาคมยังวางหมากไประยะที่สองในปี 2569 — เปลี่ยนระบบทั้งหมดให้กลายเป็นการชำระเงินผ่าน QR Code บนโทรศัพท์มือถือแทนการใช้บัตรโดยสาร
นี่อาจเป็นอีกก้าวสำคัญของการเดินทางในเมืองที่ “ไม่ต้องพกบัตร” แต่คำถามใหญ่ก็คือ คนที่ไม่มีมือถือจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรือไม่?
ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยยังใช้เงินสด ยังไม่เข้าถึงระบบดิจิทัล และหากรัฐจะเดินไปถึงจุดที่ทุกคน “แตะจ่ายผ่านจอ” ได้จริง มันก็ต้องมีคำตอบที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือเรื่องของ “ความเท่าเทียมในการเข้าถึง”
สุดท้าย ความพยายามนี้คือโอกาสทองของรัฐบาลเพื่อไทยที่จะพิสูจน์ว่า คำหาเสียงเมื่อวาน จะไม่กลายเป็นแค่ “ฝันกลางวัน” วันนี้
แต่หากทุกอย่างจบลงแค่ในกระดาษ แค่ในมติคณะรัฐมนตรี หรือแค่ในแอปที่เปิดใช้ไม่ได้จริง — ก็คงไม่มีอะไรต่างจากขบวนรถไฟฟ้าที่วิ่งฉิวผ่านคนหาเช้ากินค่ำ โดยไม่มีวันหยุดให้ขึ้น
