ถ้าการเมืองคือศิลปะของความเป็นไปได้—การทูตการค้า คือศาสตร์ของการเอาตัวรอด
ในยุคที่ทรัมป์กลับมาทวงบัลลังก์โลกด้วยภาษี
ประเทศไทยไม่อาจนั่งรอชะตาฟ้าลิขิต
“ดีลลับ” ไม่ใช่คำพูดจากภาพยนตร์การเมือง แต่คือถ้อยแถลงจริงจากนายกรัฐมนตรีหญิงของไทย—แพทองธาร ชินวัตร
ในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” เธอยืนยันเองว่า ไทยกำลังขยับหมาก “เจรจาลับกับอเมริกา”
เพื่อรับมือกับนโยบายการค้าสุดโต่งของโดนัลด์ ทรัมป์
ภาษี คือดาบที่ทรัมป์ใช้ปกป้องประเทศ
แต่มันคือปืนกลที่ยิงถล่มเศรษฐกิจส่งออกของคู่ค้าอย่างไม่ไว้หน้า
เมื่อไทยคือหนึ่งในผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมที่อาจกลายเป็นเป้า
สิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังทำ—จึงไม่ใช่เพียงการตอบโต้ แต่คือการวางตัวล่วงหน้าในเกมหมากรุกระดับโลก
คนไทยอาจไม่ได้ยินเสียงปิดประตูห้องเจรจา
แต่เสียงในใจนักการทูตชัดเจน:
“ประเทศที่ไม่เตรียมรับมือ จะกลายเป็นประเทศที่ถูกเลือกให้เสียสละ”
รายงานระบุว่า คณะทำงานไทยเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่ปลายปี 2567
ก่อนที่ทรัมป์จะหวนคืนสู่ทำเนียบขาว
เริ่มจากวิเคราะห์ผลกระทบภาษีที่มีต่อสินค้าไทย
จับมือเอกชน ถกเข้มกับอาเซียน และต่อสายไปยัง USTR
ทั้งหมดนี้คือการต่อรองในความเงียบ…แต่ดุเดือด
ใครว่าแพทองธารเป็นแค่ “ลูกสาวทักษิณ”
จังหวะนี้ เธอกำลังใช้ “สายเลือดนักต่อรอง”
สวมบทผู้จัดกระบวนทัพในสนามที่ไร้แสงไฟ
คำถามที่ยังไม่ถูกถามในสภา แต่ดังอยู่ในตลาดค้าข้าว ตลาดยาง และอุตสาหกรรมไฟฟ้า:
ถ้าเจรจานี้ล้ม—ใครจ่าย?
ถ้าดีลนี้สำเร็จ—ใครได้?
เราอาจไม่เห็นเอกสาร MOU ฉบับใด
แต่อย่าประเมิน “ดีลลับ” ต่ำกว่าความจริง
เพราะมันอาจเป็นสิ่งเดียวที่ป้องกันประเทศไทย จากมหาวาตภัยเศรษฐกิจที่กำลังจะมา
โลกเปลี่ยนเร็ว ทรัมป์กลับมา
และแพทองธารกำลังเล่นบทที่ไม่มีคู่มือ
