ญี่ปุ่นถอย จีนรุก… แล้วคนไทยอยู่ตรงไหน?
เมื่อวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา โรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์ชื่อดังสัญชาติญี่ปุ่น “คาวาซูมิ” (Kawasumi) ในนวนคร จังหวัดปทุมธานี ได้เรียกประชุมพนักงานแบบสายฟ้าแลบ ประกาศปิดกิจการอย่างเป็นทางการ พร้อมยุติการผลิตชุดสายถ่ายเลือดผ่านไตเทียม (BTL) ทันที ทิ้งพนักงานหลายร้อยชีวิตให้เดินเตะฝุ่นกลางแดดร้อนโดยไม่มีเวลาเตรียมตัว
ภาพพนักงานหลายร้อยคนเดินเข้าสู่ห้องประชุมกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ ไม่ใช่เพราะเป็นภาพแห่งความหวัง…แต่เพราะมันคือภาพของการ “ปิดตำนาน” ที่ไม่ทันได้ลาจาก
หากใครตามข่าวเศรษฐกิจไทยตลอดปีที่ผ่านมา คงไม่แปลกใจนัก เพราะกระแส “บริษัทญี่ปุ่นถอนทัพ” ไม่ได้เพิ่งเกิด และ “บริษัทจีนบุกไทย” ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือสิ่งเหล่านี้กลายเป็น “New Normal” ของเศรษฐกิจไทย ที่คนไทยกลับต้องยืนดูโดยไม่มีบทพูด
“โรงงานญี่ปุ่นฝรั่งทยอยปิด โรงงานจีนขึ้นเหมือนดอกเห็ด” คอมเมนต์จากคนในโลกออนไลน์ สะท้อนความจริงที่เจ็บปวดเกินจะปฏิเสธ
คำถามคือ…เกิดอะไรขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของไทย? ทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่ถึงทยอยถอนตัว? และทำไมช่องว่างนั้นถึงถูกแทนที่ด้วยทุนจีนอย่างรวดเร็ว?
📉 ปิดเพราะอะไร? เปิดเพื่อใคร?
หลายเสียงวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา และต้นทุนการผลิตที่สูงในไทย เป็นตัวเร่งให้บริษัทญี่ปุ่นและยุโรปเลือกย้ายฐานการผลิต แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือการที่ “ช่องว่างทางเศรษฐกิจของไทย” ถูกทดแทนด้วยทุนจีนแทบจะทันที
หากเดินผ่านเขตอุตสาหกรรมนวนคร หรือแม้แต่ตามชานเมืองใหญ่ทั่วประเทศ จะพบว่าโรงงานและกิจการที่ขึ้นใหม่ ส่วนใหญ่มาจากทุนจีน ทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
และเราไม่ได้พูดถึงแค่ “โรงงานอิฐปูน” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกิจการดิจิทัล แอปพลิเคชัน ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ การเงิน ไปจนถึงธุรกิจสีเทาที่เจาะลึกทุกซอกทุกมุมของเศรษฐกิจไทย
คำถามสำคัญคือ…เรากำลังเปิดทางให้ทุนจีนในนามของ “การพัฒนา” หรือกำลังปูพรมแดงให้ต่างชาติเข้ามาแย่งอู่ข้าวอู่น้ำของคนไทย?
🤔 แรงงานไทย คือผู้เสียสละเงียบ?
ท่ามกลางกระแส “ถอนญี่ปุ่น-รุกจีน” คนที่แบกรับผลกระทบมากที่สุดไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นายทุน แต่คือ “แรงงานไทย” ที่ตกงานโดยไม่มีระบบรองรับที่เพียงพอ และต้องดิ้นรนหางานใหม่ท่ามกลางการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม
🧭 ทางรอดอยู่ตรงไหน?
การที่เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งทุนต่างชาติไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่ควรเกิดขึ้นควบคู่กัน คือการวางกติกาให้แข็งแรง การคุ้มครองแรงงานไทยให้ไม่ตกขบวน และการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวในการสร้างนวัตกรรมของตนเอง ไม่ใช่แค่การเปิดประเทศให้เป็นฐานการผลิตราคาถูก
เพราะหากเราไม่เร่งสร้าง “ราก” ของตนเอง เมื่อลมเปลี่ยนทิศ คนไทยก็จะกลายเป็นเพียงใบไม้ที่ปลิวตามแรงทุน โดยไม่มีทางเลือก
