ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 สื่อหลายแห่งรายงานข่าว “ข่าวดี” สำหรับผู้บริโภคไทย ค่าไฟฟ้างวด พ.ค.-ส.ค. 68 ถูกปรับลดลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย พร้อมคำอธิบายหวานหูว่าเพราะ “ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลง” “ค่าเงินบาทแข็งขึ้น” และ “หนี้ กฟผ. ลดลง” จากเดิมกว่า 1.5 แสนล้าน เหลือเพียง 7.1 หมื่นล้านบาท
แต่… นี่คือการปรับลดจริงหรือเพียงการผ่อนหนี้ที่สังคมเคยถูกบังคับให้แบกร่วมกัน?
“ภาระสาธารณะ” ที่ประชาชนไม่เคยสมัครใจ
ย้อนกลับไปเพียง 2 ปีก่อน ค่าไฟทะยานทะลุ 4.7 บาทต่อหน่วย ท่ามกลางข้ออ้างว่าเป็นผลจากสงครามพลังงานและราคาก๊าซ LNG ที่สูงลิ่ว ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เลือกรับภาระหนี้แทนประชาชน โดยไม่ได้ถามว่า “ใครอยากให้แบก”
วันนี้พอราคาพลังงานโลกลดลง หนี้เริ่มเบาบาง ประชาชนก็ถูกชวนให้ดีใจ…กับ “การลดค่าไฟ” ที่จริงๆ แล้วควรเกิดตั้งแต่ต้น หากไม่มีการบริหารต้นทุนพลังงานผิดพลาดซ้ำซาก
คำถามคือ: ใครได้ประโยชน์จากการตัดสินใจให้ กฟผ. แบกหนี้ไว้ก่อน?
ใครเป็นคนเลือกเชื้อเพลิงแพงในวันที่มีทางเลือกอื่นถูกกว่า?
และใครจะรับผิดชอบกับหนี้หมื่นล้านที่ประชาชนจ่ายทางอ้อมอยู่ทุกเดือนมาจนถึงวันนี้?
บาทแข็งไม่ใช่ความดีของรัฐบาล แต่เป็นความเสี่ยงที่ยังไม่จบ
หนึ่งในเหตุผลที่ถูกหยิบยกมาอธิบายการลดค่าไฟ คือ “ค่าเงินบาทแข็งขึ้น” อยู่ที่ 32.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่สถานการณ์ค่าเงินเป็นเรื่องผันผวนและเชื่อมโยงกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจโดยตรง
หากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกสะดุดอีกครั้ง หรือหากการส่งออกไทยชะลอตัว ค่าเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่า ซึ่งแปลว่าค่าไฟอาจพุ่งขึ้นทันทีในงวดถัดไป แล้วใครจะอธิบายให้ชัดว่าโครงสร้างค่าไฟปัจจุบันนั้น “ยืดหยุ่น” หรือแค่ “ลอยไปกับคลื่น” แบบไม่มีเข็มทิศ?
เงิน Claw Back — ช่วยประชาชนหรือแค่ชั่วคราว?
เงิน “Claw Back” ที่ กกพ. ดึงกลับจาก 3 การไฟฟ้าเพื่อลดค่าไฟรวม 12,200 ล้านบาทนั้น น่าสนใจอย่างยิ่ง นี่คือเงินที่ควรสะท้อนถึง “ผลกำไรเกินควร” ที่รัฐเรียกกลับมาเพื่อเยียวยาผู้บริโภค
แต่ก็ต้องถามอีกว่า:
เหตุใดการไฟฟ้าจึงมีกำไรเกินควรในช่วงที่ประชาชนเดือดร้อน?
มีใครตรวจสอบว่า Claw Back ครั้งนี้ครอบคลุมเท่าไร จากกำไรสุทธิทั้งหมด?
จะมี Claw Back อีกไหม หากในอนาคตค่าไฟพุ่งขึ้นอีก?
หรือว่า Claw Back เป็นเพียงกลไกปลอบใจ ในระบบที่ไม่เคยปฏิรูปจริง?
ถึงเวลาแก้โครงสร้างพลังงาน ไม่ใช่แค่ลุ้นงวดถัดไป
ข่าวค่าไฟลดไม่ควรเป็นเพียง “น้ำเย็นราดหลังคา” ที่ประชาชนรู้สึกชื่นใจชั่วคราว เพราะตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่มีการ “เปิดบัญชีจริง” ให้สังคมเห็นต้นทุนพลังงานอย่างโปร่งใส และยังคงพึ่งพาโครงสร้างผูกขาดการซื้อขายพลังงานจากเอกชนบางกลุ่ม
ความยุติธรรมทางพลังงานก็จะยังคงเป็นเรื่องหรูหรา สำหรับคนที่จ่ายไฟไม่ขาดเท่านั้น
