วันที่ 16 มิถุนายน 2568 คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ส่งหนังสือถึง AOT ขอหารือยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี 3–5 สนามบินหลัก (สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ รวมถึงสุวรรณภูมิ–ดอนเมือง) เพราะอ้างเหตุสุดวิสัยจากโควิด‑19 ภาวะสงคราม ภาษีไวน์ต่ำ และการคืนพื้นที่ โดยมุ่งหาทางออกใหม่ให้เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายผ่านคณะกรรมการศึกษาซึ่งอาจจ้างที่ปรึกษาภายนอก จุดประสงค์คือคลี่คลายความเสียหายทางธุรกิจและเศรษฐกิจ

ทำไมคิง เพาเวอร์จึงเลือกเลิกสัญญา?

คิง เพาเวอร์ระบุว่าได้รับผลกระทบจาก “7 สถานการณ์รุมเร้า” เช่น มาตรการห้ามขายสินค้าปลอดอากรขาเข้า การลดภาษีไวน์ การคืนพื้นที่จาก AOT การขาดมาตรการดูแลนักท่องเที่ยวจีน สถานการณ์โควิด‑19 สงครามโลกและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จนเกิดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรม และไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขสัญญาเดิม

บริษัทมองว่าภาระขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) ที่จ่ายไปมากกว่ารายรับจริง เสนอปรับเป็น “Sharing per Head” เหลือ ~20% ซึ่งสะท้อนโมเดลที่ช่วยเหลือช่วงโควิด ระหว่างรอการแก้ไขสัญญาให้สมดุล

AOT โดนเต็มๆ

ข่าวนี้ส่งผลให้ราคาหุ้น AOT ร่วงหนักถึง 7–10% และมีแนวโน้มกดดันระยะยาว เพราะรายได้จากดิวตี้ฟรีคิดเป็นกว่า 10% ของรายได้ทั้งหมดของ AOT ซึ่งหากคิง เพาเวอร์ถอนตัวอาจกระทบกำไรปี 2569 ราว 10%

แม้ AOT ชี้แจงว่าบริการยังเดินหน้าตามปกติและเตรียมตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางภายใน 60 วัน แต่ความไม่แน่นอนยังสูงและอาจลุกลามไปถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน หากไม่สามารถจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ได้ทันเวลา

สัญญาไม่ลงตัว

AOT ย้ำว่าเป็นสัญญาธุรกิจที่ตรวจสอบโดยอัยการสูงสุด และสามารถปรับเปลี่ยนได้ หากเห็นสมควร โดยเน้นแนวทางเจรจาเป็นธรรมผ่านที่ปรึกษาภายนอกและอาจเปิดประมูลใหม่หากยุติสัญญา พร้อมตั้งเหตุผลว่าถึงแม้ขณะนี้คิง เพาเวอร์ยังดำเนินงานปกติ แต่หากไม่แก้ไขอาจกระทบต่อสาธารณะและผู้ใช้บริการ

ขณะที่คิง เพาเวอร์ยืนยันว่ามาตรการจากภาครัฐและการดำเนินงานของ AOT มีผลลบต่อรายรับ จึงต้องการปรับเงื่อนไขให้สะท้อนสถานการณ์จริง มิฉะนั้นอาจไม่พอใจจ่าย หรือดำเนินการต่อไปภายใต้เงื่อนไขเดิมที่ไม่ยั่งยืน

ทั้งสองฝ่ายตกลงใช้กรอบเวลา 45–60 วันในการศึกษาโดยที่ปรึกษาที่เป็นกลาง หากไม่พบทางออกอาจมีการเปิดประมูลใหม่ ซึ่งอาจเพิ่มคู่แข่งในตลาดดิวตี้ฟรี ทั้งจากไทยและต่างประเทศ ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและภาคการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

หาก AOT ทำข้อเสนอใหม่ที่รับได้ ทั้งสองฝ่ายอาจรักษารายได้และภาพลักษณ์ แต่หากไม่สามารถตกลงกันได้ ความเสี่ยงต่อรายได้ของรัฐวิสาหกิจและความเชื่อมั่นของผู้โดยสารยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง