กระทรวงพาณิชย์เตรียมชุดมาตรการรับมืออย่างรอบด้าน หากไทยเผชิญการใช้ภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ อัตรา 36% ซึ่งอาจเริ่มมีผลในเดือนสิงหาคมนี้ ภายหลังการเจรจาแก้ปัญหาดุลการค้ายังไม่บรรลุข้อตกลง โดยกระทรวงฯ วางแผนเยียวยาผู้ประกอบการไทยผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การช่วยเหลือทางการเงิน การขยายตลาดใหม่ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่เป็นเสาหลักของภาคการค้าไทย
ช่วยเสริมสภาพคล่องด้วย Soft Loan วงเงิน 2 แสนล้านบาท
มาตรการเร่งด่วนอันดับแรกของ กระทรวงพาณิชย์ คือ การเตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ ผู้ส่งออกกลุ่ม SMEs ที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดต่างประเทศ หากสหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้ภาษีตอบโต้ในอัตรา 36% จริง
กระทรวงฯ จึงเตรียมประสานกับ กระทรวงการคลัง และ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อออกมาตรการ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) วงเงินรวมกว่า 200,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเข้าถึงผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของการส่งออกทั้งทางตรงและทางอ้อม ครอบคลุมกลุ่มสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมเบา อาหารแปรรูป ไปจนถึงเครื่องจักรและยานยนต์บางประเภท
วงเงินดังกล่าวจะครอบคลุมการเสริมทุนหมุนเวียน การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อยกระดับมาตรฐาน และการปรับตัวต่อภาระต้นทุนจากภาษี ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เร่งเปิดตลาดใหม่ หลีกเลี่ยงการพึ่งพาสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว
ภายใต้แนวคิด “ลดความเสี่ยง สร้างโอกาส” กระทรวงพาณิชย์เร่งเดินหน้าหาตลาดส่งออกใหม่เพื่อ กระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันยังเป็นตลาดหลักของสินค้าหลายกลุ่ม โดยเฉพาะในภาคอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และเกษตรแปรรูป
ตลาดเป้าหมายหลักที่ไทยวางยุทธศาสตร์ระยะสั้น ได้แก่
- ลาตินอเมริกา เช่น บราซิล เม็กซิโก และชิลี
- ตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- เอเชียใต้ ได้แก่ อินเดีย บังกลาเทศ
- แอฟริกา โดยเฉพาะแอฟริกาใต้ อียิปต์ และไนจีเรีย
- ยุโรป นอกกลุ่มสหภาพยุโรป เช่น สหราชอาณาจักรและสแกนดิเนเวีย
กระทรวงฯ ยังได้จัดทีม ทูตพาณิชย์ ในภูมิภาคเหล่านี้ เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาเปิดตลาดใหม่ทั้งแบบทวิภาคีและผ่าน FTA พร้อมทั้งเตรียมจัดโรดโชว์ร่วมกับภาคเอกชน เพื่อเสนอศักยภาพสินค้าไทยและจับคู่ธุรกิจอย่างเร่งด่วน
ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ ผ่าน E-Commerce และมูลค่าเพิ่ม
เพื่อให้การเยียวยาเกิดผลในเชิงโครงสร้าง กระทรวงพาณิชย์ ยังวางเป้าหมายระยะกลางในการ พัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกไทย ให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน แม้ในภาวะที่เผชิญต้นทุนจากภาษีหรือต้นทุนการค้าอื่นๆ
มาตรการนี้ประกอบด้วยการ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเพิ่มมูลค่าสินค้า (Value-added Products) ด้วยการออกแบบ บรรจุภัณฑ์ และการรับรองมาตรฐานสากล รวมถึงส่งเสริมการใช้ แพลตฟอร์ม E-commerce และ Digital Trade เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง ลดต้นทุนผ่านคนกลาง และขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคใหม่
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้บูรณาการกับหน่วยงานอย่าง กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) เพื่อเปิดหลักสูตร อบรม และเวิร์กชอปให้กับ SMEs ที่ต้องการปรับตัวทันสถานการณ์