ญี่ปุ่น–ฟิลิปปินส์ เจรจาภาษีทรัมป์สำเร็จ เมื่อไหร่จะถึงตาประเทศไทย

ญี่ปุ่นเจรจาสำเร็จ ลดภาษีเหลือ 15% พร้อมแผนลงทุน 5.5 แสนล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ประกาศข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับญี่ปุ่น ภายใต้กรอบ “Liberation Day Trade Deal” โดยสาระสำคัญอยู่ที่การลดภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นจากเดิม 25% เหลือ 15% แลกกับการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าไปแข่งขันได้มากขึ้น ทั้งในหมวดอุตสาหกรรมยานยนต์ เกษตรกรรม และสินค้าเทคโนโลยี

ข้อตกลงยังพ่วงด้วยแผนการลงทุนจากภาคเอกชนญี่ปุ่นในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 550,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกระบุโดยทรัมป์ว่า “จะทำให้สหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์มากถึง 90% ของกำไรที่เกิดจากความร่วมมือ”

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นตอบรับข่าวในเชิงบวกทันที โดยดัชนี Nikkei พุ่งขึ้นมากกว่า 3% สะท้อนความคาดหวังว่าแรงกดดันด้านภาษีจะผ่อนคลายลง และเอื้อต่อการเติบโตของภาคการส่งออก

ฟิลิปปินส์ร่วมวงเจรจา คาดลดภาษีเหลือ 19% เปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ แลกเปลี่ยน

ในวันเดียวกัน รัฐบาลฟิลิปปินส์ประกาศความคืบหน้าการเจรจากับสหรัฐฯ โดยตั้งเป้าลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่เคยตั้งไว้ราว 20% ลงเหลือประมาณ 19% เพื่อแลกกับการเปิดตลาดฟิลิปปินส์ให้แก่สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจากอเมริกา

แม้รายละเอียดของดีลจะยังไม่สมบูรณ์เท่าญี่ปุ่น แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงการค้าฟิลิปปินส์ระบุว่า ข้อตกลงเบื้องต้นได้รับการตอบรับจากฝ่ายสหรัฐฯ ในระดับที่น่าพอใจ โดยกำลังอยู่ระหว่างการร่างเอกสารและจัดทำ Roadmap สำหรับลดภาษีในอนาคต

กระนั้น ความกังวลยังคงมี โดยเฉพาะในหมู่ผู้ประกอบการภายในประเทศที่กลัวว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากสินค้าต่างชาติเข้ามาแข่งราคามากเกินไป

นักวิเคราะห์ชี้ไทยอาจจะเดินตามรอยได้ แต่ต้องยอมเปิดตลาด

กรณีของไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบ USTR (สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ) โดยเบื้องต้นฝ่ายสหรัฐฯ เสนอให้ไทยพิจารณาเปิดตลาดให้มากขึ้นในด้านบริการ เกษตร และอุตสาหกรรม แลกกับการลดภาษีที่ไทยถูกตั้งไว้ที่ 36%

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายประเมินว่า หากไทยสามารถยอมรับเงื่อนไขบางส่วน โดยเฉพาะการขยาย Market Access และยกเลิกอุปสรรคทางการค้าแบบที่เรียกว่า Non-Tariff Barriers (NTB) ก็อาจทำให้สหรัฐฯ ยอมลดภาษีเหลือระดับใกล้เคียงกับญี่ปุ่นหรือฟิลิปปินส์ คือระหว่าง 15–19%

อย่างไรก็ดี โอกาสจะสำเร็จหรือไม่นั้น ยังขึ้นอยู่กับ “ความกล้าตัดสินใจ” ของฝ่ายไทย เพราะการเปิดตลาดอาจส่งผลกระทบกับบางอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งต้องการมาตรการเยียวยาควบคู่

การติดตามความคืบหน้าการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จึงเป็นประเด็นสำคัญในช่วงก่อนถึงเดือนสิงหาคม ที่ฝ่ายไทยหวังว่าจะปิดดีลให้ได้ทันก่อนถึงเส้นตายนโยบายภาษีชุดใหม่ของทรัมป์

“สุริยะ” ไม่การันตี ชี้อนาคตร่วมงานกับภูมิใจไทยขึ้นกับสมการเสียง

อนุทินโต้ “ทักษิณ” ปมไม่สุภาพบุรุษ ยันไม่เคยผิดสัญญา-เหน็บแนมใคร