ไม่หนักอย่างที่คิด! สหรัฐเก็บไทยภาษี 19% เฉียดฉิวก่อนเส้นตาย

วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 สหรัฐฯ ประกาศลดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากไทยลงเหลือ 19 % จากเดิมที่เคยกำหนดไว้สูงถึง 36 % มีผลบังคับใช้ภายใน 7 วันนับตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568 จากการเจรจาขั้นสุดท้ายที่ไทยยื่นข้อเสนอเพิ่มหลายด้าน รวมถึงการลดอุปสรรคทางการค้านำเข้า (zero‑tariff) ให้กับสินค้าสหรัฐบางส่วน เพื่อแลกกับการรักษาอัตราภาษีที่แข่งขันได้กับประเทศในภูมิภาค

ไทยเสนอแผนเจรจา 5 ข้อหลักที่สอดคล้องกับแนวทางของสหรัฐ ได้แก่ การร่วมมือในธุรกิจอาหารแปรรูป การนำเข้าสินค้าพลังงาน เช่น LNG และเครื่องบิน การแก้ไขอุปสรรคทางการค้า (Non‑Tariff Barriers) การยกระดับกฎถิ่นกำเนิดสินค้า และการส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐ เพื่อสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในการค้าและลดการขาดดุลภายในระยะ 5–10 ปี

นอกจากนี้ ไทยได้เสนอขยายรายชื่อสินค้าสหรัฐที่ได้รับ zero‑tariff ประมาณ 90 % เพื่อแลกกับอัตราภาษีตอบโต้ที่ลดลง และยืนยันว่าจะไม่ยอมรับการลดให้กับสินค้าทั้งหมด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตร

ข้อเสนอหลักของไทยถูกจัดอยู่ในกรอบ 5 ประเด็นที่สหรัฐเสนอ และได้รับคำชมจาก รัฐมนตรีคลังสหรัฐ Scott Bessent ว่าเป็นข้อเสนอที่ “ดีเยี่ยม” โดยระบุไทยมีศักยภาพและแนวร่วมทางการค้ากับสหรัฐที่ชัดเจน

คณะผู้แทนไทยได้เสนอให้ลดภาระนำเข้าสินค้าไทยที่ได้ zero‑tariff อย่างชัดเจน พร้อมแนวทางเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐที่จำเป็น เช่น พลังงาน วัตถุดิบ และอาหารแปรรูป ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายลดดุลการค้าสหรัฐลง 50% ภายใน 5 ปี

ไทยยืนยันไม่เปิดตลาดทั้งหมด

หลังยื่นข้อเสนอสุดท้ายช่วง กลางเดือนกรกฎาคม ฝ่ายไทยกำลังรอการตอบรับจาก USTR สหรัฐ พร้อมยืนยันว่าจะไม่ให้ zero‑tariff ครอบคลุมทุกหมวดสินค้า เพราะอาจส่งผลให้ไทยต้องเปิดสิทธิเหมือนกันกับคู่ค้าอื่นตามหลัก MFN ซึ่งอาจเกิด ‘เขื่อนแตก’ และกระทบธุรกิจภายในประเทศอย่างรุนแรง

ในกรณีที่สหรัฐไม่ตอบรับ ข้อเสนอ zero‑tariff ไทยจะยังคงปกป้องสิทธิ์ของผู้ประกอบการไทยภายใต้เงื่อนไขที่สมดุลกับผลประโยชน์ของประเทศ

แผ่นดินไหวเขย่ารัสเซีย สร้างความตื่นตระหนกทั่วแปซิฟิก สึนามิซัด-ภูเขาไฟปะทุ

รอยเตอร์มอง ไทย-กัมพูชา ขัดแย้งเพราะเขตแดนไม่ชัดเจน เชื่อกัมพูชายิงก่อน