เลขาธิการสทนช. ลุยหนองคาย ติดตามสถานการณ์น้ำโขง รับมือพายุลูกใหม่

เลขาธิการสทนช. ลงพื้นที่หนองคาย ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำริมโขงฝั่งไทย รับมือพายุลูกใหม่ พร้อมเชิญรองเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติลาว ผู้แทน MRCS ร่วมประชุมและตรวจสถานการณ์ริมน้ำโขง บูรณาการหน่วยบริหารจัดการน้ำเฝ้าระวังพายุและฝนตกเพิ่มช่วง ก.ย.-ต.ค. เตรียมพร้อมรับมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลพื้นที่เสี่ยง แจ้งเตือนล่วงหน้ายกของขึ้นสูง วางแผนบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์

วันที่ 19 กันยายน 2567 ดร. สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมหน่วยบริหารจัดการน้ำครั้งที่ 9/2567 โดยมี นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด และพื้นที่ภาคเหนือ 12 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเชิญรองเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติลาว ผู้แทน MRCS ร่วมหารือด้วยทางออนไลน์

ดร. สุรสีห์ กิตติมณฑล

ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมเลขาธิการ สทนช. และคณะผู้เข้าร่วมประชุม ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัย จ.หนองคาย ในจุดต่างๆ ได้แก่ จุดสูบน้ำประตูระบายน้ำวัดหายโศก ชุมชนหายโศก สถานีสูบน้ำวัดพระธาตุหล้าหนอง ชุมชนวัดธาตุ ศูนย์สำรวจอุทกวิทยา หนองคาย (สถานีวัดน้ำ MRC หนองคาย)

เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์อุทกภัยในขณะนี้ จึงได้มอบหมาย สทนช. ในการบูรณาการทุกหน่วยงานร่วมกันบริหารจัดการสถานการณ์และเข้าช่วยเหลือพื้นที่รับผลกระทบ ได้แก่ การกู้คืนระบบประปา การเร่งระบายน้ำท่วมขัง การทำลายสิ่งกีดขวางทางน้ำ เป็นต้น

สำหรับการประชุมในวันนี้ได้เชิญท่านสีวันนะกอน มะลิวัน รองเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติลาว (LNMCS) ผู้แทนสำนักงานเลขาธิการกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านน้ำของประเทศลาว เข้าร่วมประชุมและร่วมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในจุดต่างๆ เพื่อได้รับทราบสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงฝั่งไทยและการเตรียมการรับมือของหน่วยบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย เพื่อได้นำไปใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขงในกลุ่มประเทศสมาชิกอย่างเป็นเอกภาพต่อไป

ซึ่งในประชุมวันนี้ได้มีการคาดการณ์สถานการณ์พายุและฝนที่จะเกิดขึ้นในช่วง ก.ย. – ต.ค.67 ซึ่งขณะนี้ เกิดพายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง (ทางตะวันออกของประเทศเวียดนาม) และทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน “ซูลิก” ในวันนี้แล้ว คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลางในช่วงเช้าตรู่วันที่ 20 ก.ย. 67 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ โดยจะส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมาก บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ตอนกลาง และภาคเหนือตอนล่าง

ประกอบกับจะเกิดมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ มีกำลังแรงพัดเข้าหาพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำ ส่งผลให้ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก (จ.นครนายก ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด ) และภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งอันดามัน (จ.ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล) มีฝนตกหนักมากบางแห่ง ซึ่งที่ประชุมได้วางแผนเตรียมการพื้นที่รับผลกระทบทุกแห่งรองรับสถานการณ์ในเชิงป้องกันเพื่อลดผลกระทบและเกิดความเสียหายให้เกิดน้อยที่สุด

สำหรับสถานการณ์น้ำปัจจุบัน พบว่า แหล่งน้ำทั่วประเทศขณะนี้มีปริมาณน้ำรวม 54,299 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 67% โดยแหล่งน้ำที่ต้องเฝ้าระวังน้ำมากทั่วประเทศ 147 แห่ง โดยมีอ่างเก็บน้ำที่ต้องเฝ้าระวัง คือ อ่างเก็บน้ำแม่จาง ปริมาณน้ำ 96% อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง ปริมาณน้ำ 80% และอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา ปริมาณน้ำ 75%

สำหรับสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำภาคเหนือ ได้แก่ ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำโขงเหนือ และลุ่มน้ำยม ระดับน้ำจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีความเสี่ยงน้ำล้นตลิ่งที่ อ.เมืองสุโขทัย จ.สุโขทัย

สำหรับลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะนี้ระดับเริ่มน้ำลดลง จากการคาดการณ์พบว่าระดับน้ำอาจเพิ่มขึ้นแต่จะไม่สูงกว่าระดับตลิ่งมากนัก ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยหลวง และระดับน้ำในคลองห้วยหลวงที่ล้นตลิ่งอยู่ในปัจจุบัน จากการคาดการณ์ 7 วันล่วงหน้าพบว่าระดับน้ำจะสูงกว่าระดับตลิ่งแต่ไม่มากนัก โดยจะส่งผลกระทบพื้นที่ริมคลองครอบคลุมพื้นที่ 53.30 ตร.กม.

สำหรับสถานการณ์พื้นที่ลุ่มต่ำ อ.บางระกำ ระดับน้ำที่สูงกว่าตลิ่งได้ลดระดับลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ พื้นที่ทุ่งบางระกำเก็บกักน้ำไปแล้ว 47%

สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลัก พบว่า เขื่อนภูมิพล แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำไม่เกิน 60% ยังรองรับน้ำได้อีกมาก ยกเว้นเขื่อนสิริกิติ์ขณะนี้ปริมาณน้ำ 84% จึงต้องมีการปรับแผนการระบายโดยต้องมีความยืดหยุ่นรับการสถานการณ์และไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำด้วย

สำหรับพื้นที่ประสบอุทกภัยในช่วงวันที่ 11 – 17 กันยายน 2567 จำนวน 16 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ 8 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด ภาคกลาง 2 จังหวัด ภาคตะวันออก 1 จังหวัด ภาคใต้ 1 จังหวัด ส่วนใหญ่กลับสู่สถานการณ์ปกติแล้ว คงเหลืออีก 6 จังหวัด ได้แก่ จ. เชียงราย พิษณุโลก หนองคาย บึงกาฬ พระนครศรีอยุธยา และสตูล อยู่ระหว่างการช่วยเหลือและฟื้นฟูให้กลับสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็ว

“สำหรับการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขงนั้น สำนักงานเลขาธิการกรรมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยได้ติดตามและบริหารจัดการสถานการณ์น้ำร่วมกับประเทศจีน ประเทศเมียนมา และประเทศสมาชิก MRC อย่างใกล้ชิด โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์น้ำ เพื่อนำไปสู่การประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุด สทนช. ได้รับข้อมูลคาดการณ์จาก MRC ว่าในวันที่ 23 – 24 ระดับน้ำในแม่น้ำโขงจะสูงขึ้น

ประกอบกับปริมาณฝนที่คาดว่าจะตกเพิ่มในช่วงเวลาดังกล่าว จะส่งผลกระทบในพื้นที่ลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูล โดยเฉพาะที่ จ.นครพนม และ จ. อุบลราชธานี (อ. โขงเจียม) ในการประชุมวันนี้ จึงได้แจ้งให้ทั้งสองจังหวัดพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการบริหารจัดการล่วงหน้าเชิงป้องกัน ได้แก่ การแจ้งเตือนประชาชนเตรียมยกของขึ้นสูง เตรียมความพร้อมเครื่องผลักดันน้ำและเครื่องจักรเครื่องมือต่าง ๆ รวมถึงวางแผนการระบายน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ เพื่อรองรับสถานการณ์ได้ทันท่วงทีและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

อนึ่ง หน่วยงานที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยอาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมชลประทาน การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมเจ้าท่า กรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ

สหรัฐมีสิทธิไหม ? ต้องรวยแค่ไหน ถึงควรตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ”

ราคาน้ำมันดิบ (20 ก.ย. 67) ปรับเพิ่ม ขานรับ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ย