ในที่ผ่านมาการประมูลค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ของประเทศไทยนั้นถือว่าสูงมากๆและที่ผ่านมาเรียกได้ว่าแทบจะผูกขาดเลยก็ว่าได้กับ True Visions ซึ่งจะมีเจ้าอื่นแทรกมาบางปีเท่านั้น เช่น CTH และ beIN SPORTS และล่าสุดที่เป็นม้ามืดประมูลมาได้อย่าง บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS
ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษ ที่ผ่านมาในประเทศไทย มีมูลค่าเท่าใด และใครเคยเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์กันบ้าง
หากย้อนไปดูผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษ ลีกฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลก ในประเทศไทยนั้นถือว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในการประมูลแต่ละรอบ โดยย้อนไปจากรายงานจาก Bangkokpost เมื่อปี 2007 เผยว่า ทรูวิชั่น ยูบีซี ที่เปลี่ยนมาเป็นทรูวิชั่น ได้ชนะ ESPN Star คว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาล ระหว่างปี 2007-2010 โดย จ่ายเงินสูงถึง 500 ล้านบาท
หลังจากนั้น ทรู วิชั่นส์ ได้ลิขสิทธิ์ต่อเนื่องในปี 2010-2013 จำนวน 3 ฤดูกาล 2010-2013 ที่มีมูลค่า 2,000 ล้านบาท แต่เมื่้อลิขสิทธิ์รอบนี้หมดลงก็ได้มีการช็อกวงการครั้งใหญ่ เมื่อ บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ CTH ที่เป็นบริษัทผู้ให้บริการโครงข่ายสายใยเคเบิลที่ใหม่ที่สุด ได้ลิขสิทธิ์ไป ด้วยการซื้อที่มีมูลค่าสูงถึง 9,000 ล้านบาท
จากนั้นในปี 2016-2019 ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ได้มีการเปลี่ยนมืออีกครั้ง โดยคราวนี้เป็น beIN SPORTS เครือข่ายช่องรายการกีฬาทางโทรทัศน์ของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ได้ลิขสิทธิ์ในประเทศไทยไป แต่ไม่มีการเปิดเผยมูลค่าแต่อย่างใด
ต่อมาในปี 2019-2022 และ – 2022-2025 ทางด้าน ทรู วิชั่นส์ ได้ซื้อลิขสิทธิ์กลับมาอีกครั้ง ที่คาดว่าทั้ง 2 ครั้งมีมูลค่าครั้งละราว 10,000 ล้านบาท
ขณะที่การประมูลรอบล่าสุดก็ได้มีการเปลี่ยนมืออีกจาก จากทางกลุ่มทรู มาเป็น บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ได้ลิขสิทธิ์ไปครอง ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย กัมพูชา และลาว อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการถ่ายทอดสด รีรัน และไฮไลท์ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2025 ไปจนถึงปี 2030 ซึ่งจะจบลงเดือนพฤษภาคม 2568 หรือจำนวน 6 ฤดูกาล โดยในเบื้องต้นได้ลิขสิทธิ์ 3 ฤดูกาล (2025-2026, 2026-2027, 2027-2028) แต่หากได้รับแจ้งจาก FAPL เป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 1 ธ.ค. นี้ ทาง JAS จะเป็นผู้ที่ครอบครองลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นระยะเวลา 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 ด้วยมูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านบาท
