ดีลสะเทือนบัลลังก์ ปิดตำนาน King of Sport

TRUE ได้รับการขนานนามว่าเป็น King of Sport มาตลอด อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ TRUE เสียสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกอังกฤษให้กับ JAS ด้วยมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท จึงเกิดคำถามขึ้นว่า ใครคือ King of Sport ที่แท้จริง

หลังจากที่ JAS ได้รับหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการจาก “the Premier League” ยืนยันการได้รับ “สิทธิแต่เพียงผู้เดียว” ในการถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก เป็นระยะเวลา 6 ฤดูกาล คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.9 หมื่นล้านบาท ตามประกาศที่ JAS ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ

ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ “JAS” .กล่าวว่า การได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกมาครอบครอง ซึ่งจะได้รับชมผ่านทางโมโนแม็กซ์ รวมถึงการรับชมผ่านทางสมาร์ททีวี จะได้รับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ รวมถึงภาพยนต์และซีรีส์จากต่างประเทศไม่จำกัดและยืนยันแพ็กเกจถูกกว่าค่ายปัจจุบันแน่นอนเพื่อให้คนไทยเข้าถึงพรีเมียร์ลีกอย่างทั่วถึง

ขณะที่ก่อนหน้านี้
มนัสส์ มานะวุฒิชัย ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ “TRUE” ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

การไม่มีพรีเมียร์ลีกก็ยอมรับว่ากระทบบ้างในแง่ความรู้สึก แต่ไม่ถึงกับเข่าทรุด ทรูไม่ได้เสียทรง และขอบอกว่า พรีเมียร์ลีกไม่ได้เป็นทั้งหมดทรูวิชั่นส์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของทรูวิชั่นส์ ทำให้บริษัทยังมีสถานะเป็น King of Sport

The Mainstream ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ ใครเหมาะสมจะเป็น King of Sport และยืนอยู่บนจุดสูงสุดของการถ่ายทอดสดกีฬาของประเทศไทย


1. ด้านราคา
●JAS ประกาศชัดเจน ราคาไม่เกิน 400 บาทต่อเดือน ไม่ว่าจะรับชมผ่านช่องทางใดก็ตาม
●True Visions ในฤดูกาลปัจจุบัน (2024-2025) ราคาแพ็คเกจ รายเดือน 599 บาท สำหรับสมาชิกที่มีแพ็คเกจทรูอยู่แล้ว 799 บาท ( สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก )
●ราคาแพ็คเกจของ JAS ถูกกว่า True Visions ทำให้แฟนบอลจำนวนมากรู้สึกว่า True Visions ที่ผ่านมาราคาค่อนข้างแพงเกินไป
แม้ว่า JAS จะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์สูงถึง 1.9 หมื่นล้านบาท สำหรับ 6 ฤดูกาล แต่เลือกที่จะแบกรับภาระต้นทุน และนำเสนอราคาที่ดึงดูดใจ เพื่อสร้างฐานลูกค้าในระยะยาว


2. ช่องทางการรับชม
●JAS ให้บริการผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น MONOMAX ซึ่งเป็น Streaming platform, ทีวีดิจิทัลช่อง MONO29 รวมถึง เครือข่ายพันธมิตร และ Mobile operators
●แฟนบอลสามารถเลือกรับชมได้ตามความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือโทรทัศน์
●True Visions ยังคงให้บริการผ่าน TrueVisions Now และ True ID เป็นหลัก ซึ่งจำกัดกลุ่มผู้ชม และอาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก


3. คุณภาพการถ่ายทอดสด
●JAS ให้ความสำคัญกับคุณภาพการถ่ายทอดสด โดยเน้น Full-HD เป็นมาตรฐาน และรองรับ 4K ในบางนัด
●JAS ใช้เทคโนโลยี Auto bit rate เพื่อปรับคุณภาพตามความเร็วอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์รับสัญญาณของผู้ชม
●JAS กำลังพัฒนาระบบให้สามารถ ดูพร้อมกันได้ถึง 2 จอ โดยไม่กระตุก
●True Visions ในเรื่องคุณภาพของรายละเอียดภาพนั้นยังคง เริ่มต้นที่ HD หรือ 720p สูงสุด 4K
●True Visions รับชมพร้อมกัน 2 จอ สูงสุดไม่เกิน 4 จอ หากจ่ายด้วยราคาแพ็กเกจ 2155 บาท

4.ราคาประมูล

  • JAS ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก 6 ฤดูกาล (2025/26 – 2030/31) ในราคาประมาณ 19,167 ล้านบาท
  • True Visions ที่ได้ลิขสิทธิ์ 6 ฤดูกาล (2019/20 -2024/25) ในราคาประมาณ 20,000 ล้านบาท

แสดงให้เห็นว่า JAS ได้ลิขสิทธิ์ในราคาที่ประหยัดกว่า


ผลดีต่อคนดู
●ประหยัดค่าใช้จ่าย: แฟนบอลสามารถรับชมพรีเมียร์ลีกได้ในราคาที่ถูกลงมาก เมื่อเทียบกับ True Visions
●ความสะดวกสบาย: มีตัวเลือกในการรับชมที่หลากหลาย ผ่านแพลตฟอร์มที่เข้าถึงง่าย
●คุณภาพการรับชมที่ดีขึ้น: ได้รับชมภาพและเสียงที่คมชัด ระดับ Full-HD และ 4K
●โอกาสในการพัฒนาของพรีเมียร์ลีก: การที่ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก อาจเป็นแรงกดดันให้ True Visions ต้องหาคอนเทนต์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในไทยลีก ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาและยกระดับมาตรฐาน


สรุป

ยังเป็นที่น่าจับตาว่า King of Sport ที่แท้จริงคือใคร แต่ที่เห็นได้ชัดคือ
JAS ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการแฟนบอลพรีเมียร์ลีก ด้วยการนำเสนอแพ็คเกจที่ตอบโจทย์แฟนบอลยุคใหม่ ทั้งราคา ช่องทางการเข้าถึง และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นผลดีต่อคนดูพรีเมียร์ลีกอย่างมาก อย่างไรก็ตาม JAS ยังคงต้องพิสูจน์ตัวเองในการให้บริการจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับแฟนบอล

    เศรษฐกิจเกาหลีใต้ซบเซา เจอผลกระทบวิกฤตการเมือง คนไม่มั่นใจบ้านเมืองกบฏซีเรียตั้ง รมว.ต่างประเทศ-กลาโหม หวังฟื้นฟูสัมพันธ์ต่างประเทศเศรษฐกิจเกาหลีใต้ซบเซา เจอผลกระทบวิกฤตการเมือง คนไม่มั่นใจบ้านเมือง

    ผบช.สตม. ลุยปราบปรามต่างด้าวผิดกฎหมาย เตือนอย่าหลงเชื่อ “โบรกเกอร์เถื่อน”