ช่วงนี้ ขั้วแดง – ขั้วส้ม อ่อนกำลังลง
แต่ขั้วน้ำเงิน และอีกขั้วน้ำเงินเทา คึกคักดึ๋งดั๋งเป็นอย่างสูง
ขั้วน้ำเงินที่ตอนนี้ดูจะจับหรือทำอะไร ก็ราบรื่นเข้าทางไปซะหมด
อยู่ในสถานะพองลมเต็มที่
มีคนปูทางเคลียร์อุปสรรคขวากหนามออกให้หมด
จากที่เคยอยู่ในสภาพคอขึ้นไปพาดเขียงแล้ว กับคดีฮั้วเลือกสว.
ที่ทั้งข้อมูลหลักฐาน โดยเฉพาะคลิปบันทึกภาพที่อยู่ในมือ ดีเอสไอ
และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของ กกต.
มันโยงไปถึงบิ๊กการเมืองระดับ มาสเตอร์มายด์ ของขั้วน้ำเงิน
ทั้ง น., ช., ภ., พ., ฯลฯ
รวมถึงเบอร์ 1 เบอร์ 2 ของสภาสูง มีสิทธิ์จบเห่
แต่หลังจาก ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม
โดนสอยโดยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ
ไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของการกำกับดูแลสั่งการกรมสอบสวนคดีพิเศษ
และตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (บอร์ดดีเอสไอ)
ซึ่งก็ชัดเจนว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคดีฮั้วเลือกสว.
ทำให้เกมพลิก เครื่องสะดุดทันที
กลายเป็นขั้วน้ำเงินได้ทีโชว์กร่างใส่
อย่างที่ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.สีน้ำเงิน
ออกมาขู่จะเอาคืนดีเอสไอ ทันควัน
เหมือนเป็นหลักคิดของพวกย่ามใจ
ที่มั่นใจในลมใต้ปีกของตัวเองสูง
เช่นเดียวกับ อลงกร วรกี สว.ศักดิ์สูง เคยรั่วออกมา
แม้จะโดนมาหลายดอกติดๆ
แต่ขั้วแดงก็ยังมีหมากให้เดิน
ผนึกกำลังพันธมิตรกับพรรคกล้าธรรม
ของ “ผู้กอง” ธรรมนัส พรหมเผ่า – นฤมล ภิญโญสินวัฒน์
ที่เพิ่งจะฉลองชัยชนะศึกเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช มาหมาดๆ
เดินเกมเปิดหัวดูดพลังแรงสูง
เปิดหน้าเปิดตัว งูเห่าสีส้มตัวใหม่
กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี เขต 6 พรรคประชาชน
ที่เผาบ้านเก่ามาร่วมงานกับกล้าธรรม แม้จะโดนดองก็ไม่สน
ตอนนี้ตัวเลขของพรรคกล้าธรรม
มีสส.อยู่ในมืออย่างเป็นทางการที่ 25-26 เสียง
แต่ยังมีเสียงแฝงนับหัวเป็นรูปธรรม ก็ราวๆ 35-36 เสียง
ทำให้กล้าธรรมสถาปนาขึ้นมาเป็น พรรคอันดับ 3 ในพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้
เป็นกลยุทธ์สร้างกระแสให้ กล้าธรรม ดูเนื้อหอม
ขึ้นมาวัดพลังกับภูมิใจไทยในอนาคต
โมเดลเดียวกับตอนสร้างพรรคพลังประชารัฐ
ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า วันนี้ “ผู้กอง” ธรรมนัส
กลายเป็นลมหายใจของ “นายใหญ่”
เอาไว้ปะฉะดะกับ ภูมิใจไทย ของเนวิน – อนุทิน
และน่าจะวางยุทธศาสตร์เป็นพรรคขนาดกลาง 40 – 60 ที่นั่ง
ในการเลือกตั้งรอบหน้า
ยกสถานะขึ้นมาเป็นพรรคตัวแปรสำคัญ
เบียดกับภูมิใจไทย เพราะได้ไฟเขียว “ทุนใหญ่” เปิดท่อให้แล้ว
เกมนิติสงครามรอบนี้
ทำเอาฝ่ายการเมืองกระดำกระด่างตามๆ กัน
“แดง-น้ำเงิน” ต่างเปิดให้เห็นร่องรอยบาดแผล
ที่ต้องจับตาคือช่วงนี้
องค์กรอิสระ เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน
ระหว่างกลุ่มอำนาจเก่า และกลุ่มอำนาจใหม่ที่เริ่มแต่งตั้งเติมเข้าไป
เร็วนี้ๆ ก็กระบวนการสรรหา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน
แทน “นครินทร์ เมฆไตรรัตน์” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
และ “ปัญญา อุดชาชน” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
2 ชื่อ ที่ถูกเสนอโดยคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
คือ “สุธรรม เชื้อประกอบกิจ” อาจารย์สาขารัฐประศาสนศาสตร์
คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
และ “สราวุธ ทรงศิวิไล” อดีตอธิบดีกรมการขนส่งทางราง
และอดีตอธิบดีกรมทางหลวง
โดยเฉพาะชื่อ “สราวุธ” ที่โผล่เข้ารอบสุดท้าย
เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวง
ในยุค “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เป็น รมว.คมนาคม อยู่จนครบวาระ 4 ปี
ก่อนต่ออายุราชการอีก 1 ปีในยุค “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.คมนาคม คนปัจจุบัน
จนครบเกษียณอายุราชการไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2567
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย
ด้วยผลคำวินิจฉัยที่ผูกพันกับทุกองค์กรต้องปฏิบัติตาม
มันเลยยิ่งกลายเป็นอีกศึกใหญ่ ที่ขั้วอำนาจต้องหาทางเจรจาต่อรองกัน
มันเหมือน เดจาวู
ย้อนรอยวงจรการเมืองรอบ 10 – 20 ปีที่ผ่านมา
เริ่มมีการใช้กลไกองค์กรอิสระ องค์กรตรวจสอบจัดการฝ่ายตรงข้าม
ปลุกม็อบขึ้นมาปั่นป่วน
รอจังหวะให้สถานการณ์สุกงอม ก่อนจะเผด็จศึก
วงจรอุบาทว์วนลูป แบบเดียวกันเป๊ะ..!!

-กระดูกเหล็ก-