สภาพการณ์ที่ นายกฯอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร ต้องเผชิญกับบททดสอบ ภาวะผู้นำ ของจริง

ศึกนอก กับแนวรบฝั่งกัมพูชา ที่ รัฐบาลชินวัตร ทำได้แค่ตั้งรับ
เมื่อ “พ่อ-ลูก ตระกูลฮุน” เมืองขแมร์ ไล่ขย่มใส่ประเทศไทย
ตามแผนรุกคืบฮุบดินแดนตามแผนที่ฝรั่งเศส

บทเรียนที่ “นายใหญ่” ไม่เคยจดจำ
ทำให้ รัฐบาลลูกสาว ต้องกลายเป็นลูกไล่ของ “พ่อ-ลูก ตระกูลฮุน”
กับแผนปลุกกระแสชาตินิยมคลั่งชาติ

หลังกระแสความนิยมในตัว ฮุนมาเนต ผู้นำกัมพูชา ที่ขึ้นมารับช่วงต่อจากพ่อ
ยังคงต่ำเตี้ยเลี่ยดิน

ยิ่งใกล้เลือกตั้ง พ่อ-ลูก ตระกูลฮุน เลยยิ่งต้องเล่นใหญ่ สู้กับฝ่ายค้านกัมพูชา

“ฮุนเซน” เลือกเล่นกับกระแสชาตินิยมก่อนความสัมพันธ์ส่วนตัว
แต่ “ทักษิณ” เลือกหยิบมุมความสัมพันธ์ส่วนตัวขึ้นมาเล่น
บ่งชี้ได้ว่าอดีตผู้นำทั้งสอง ใครคือตัวจริงที่เล่นกับอำนาจเป็น

แล้วยิ่งรัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯอิ๊งค์ – ภูมิธรรม เวชยชัย
รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่คุมความมั่นคง
ยังแสดงบทหน่อมแน้ม ไล่ไม่ทันเกมฮุนเซน

ก็ยิ่งเข้าทางพวกกลุ่มต้าน-คลั่งชาติทั้งหลาย
อาศัยจังหวะปลุกกระแสคลั่งขึ้นมาอีกรอบ

กว่ารัฐบาลจะกระดิกพลิกตัว ก็สายเกินกาล
นายกฯ เพิ่งจะออกมาปลุกสามัคคี รวมกันเป็นหนึ่งรักษาอธิปไตยไว้
ในวงประชุมครม.

เตรียมพร้อมรับมือทุกรูปแบบ ตามเนื้อหาท่อนหนึ่งของเพลงชาติ
“ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด”

และเตรียมจะส่ง “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม ลงพื้นที่ไปดูหน้างาน

เดินเกมก็ช้าแล้ว
แต่รัฐบาลยังไร้ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนที่มีพลัง

หันมาดู ศึกใน

จากสถานะตัวช่วยพิเศษรัฐบาล
เป็น ต้นธารดีเอ็นเอ ของผู้นำนายหญิงน้อย

ตอนนี้ไม่รู้ว่าต้องจัดสถานะของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ไปอยู่ในหมวดหมู่ไหน

ยังคงเป็นลมใต้ปีกชั้นดี
หรือเริ่มจะเป็นตัวแปรทำให้ ดุลอำนาจภายในรัฐบาล แกว่ง
หรือจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ รัฐบาลลูกสาว ต้องพังทลายลง

จาก น้ำผึ้งที่หยดลงบนชั้น 14 รพ.ตำรวจ
มาวันนี้บานปลายไปใหญ่โต

เมื่อ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข
ในฐานะ สภานายกพิเศษ แพทยสภา

ใช้สิทธิวีโต้มติของแพทยสภา
ที่ให้ลงโทษ 3 แพทย์ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งตัว อดีตนายกฯ ทักษิณ
ไปพักรักษาตัวที่ ชั้น 14

เข้าทางกลุ่มต้าน ออกมาล่าชื่อสนับสนุนมติแพทยสภา
โดยมี แพทย์เบอร์ใหญ่ๆ เบอร์ต้นๆ มาร่วมลงชื่อด้วย

เกมนี้หวังเผด็จศึกโค่นล้มรัฐบาลในเครือชินวัตรลงให้ได้
ม็อบหมอจุดติด รัฐบาลมีหนาวววว..

แต่ “นายใหญ่” หาได้ยี่หระ
ยังคงเปิดศึกปะฉะดะกับเขาไปรอบด้าน

ออกมาประกาศ ยึดคืนโควต้ากระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ
คืนมาจาก พรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาลเบอร์ 2
พ่วง กระทรวงเกษตรฯ ของพรรค กล้าธรรม
ให้ เพื่อไทย พรรคแกนนำกลับมาบริหารเอง

ดูตามกรอบเวลา
รัฐบาลมีเวลาอีก ไม่ถึง 2 ปี ที่จะปั่นผลงานสร้างกระแสความนิยมกลับคืนมาได้

หลังนโยบายเรือธงต้องเดินไปอย่างกระท่อนกระแท่น
เพราะถูก พรรคร่วมเตะสกัด

ถึงขนาดปล่อยข่าวว่า นายกฯแพทองธาร
พูดคุยกับ “เสี่ยหนู” อนุทิน
ก่อนจะบินไปร่วมประชุมด้านสิ่งแวดล้อม ที่ กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
เรียบร้อยแล้วในการโยกสลับกระทรวง

ก่อนจะถูกปฏิเสธทันควันแบบข้ามทวีป

ขณะที่ นายกฯอิ๊งค์ เสียงเริ่มอ่อย
ยอมรับว่า “อยู่ในช่วงของการประเมิน และคิดอยู่ว่าจะปรับแบบไหนแล้วดีขึ้น”

หลังจากเสียงแข็งไม่คิดปรับ ครม. มาตลอด

มีคำถามว่า “ทักษิณ” คิดช้าไปรือไม่
หลังปล่อยให้ ก๊วนน้ำเงิน สะสมกระสุนดินดำจนเพียบแปร้

สร้าง ฐานอำนาจ จนแน่นปึ้ก
กุม กลไกอำนาจรัฐ
ฝ่าย ปกครอง, ครู, และรวมไปถึงกลุ่ม หมอ พยาบาล บุคคลากรทางการแพทย์
รวมถึง หน่วยงานที่เคยกำกับดูแล มา

แถมยังสยายปีกไปคุม สภาสูง อยู่ขณะนี้

หลายคนพูดว่า
“ข้าวหอมเขากระโดง มียางกว่าข้าวขาวเพื่อไทย”

ระบบ ให้คุณให้โทษ ปูนบำเหน็จรางวัล ชัดเจนกว่า

แล้วถ้าจะปรับจริงๆ
ครั้งนี้ต้องเป็น การปรับใหญ่
เพื่อจัด แผงอำนาจกันใหม่
ตาม ยุทธศาสตร์ “นายใหญ่”

บัญชี โผครม. แพทองธาร 2 ที่หลุดออกมา ณ นาทีนี้

ประเสริฐ จันทรรวงทอง จากรองนายกฯ ควบ รมว.ดีอี
จะสยายปีกเป็น ควบ รมว.มหาดไทย

แล้วโยก “เสี่ยหนู” อนุทิน เป็นรองนายกฯ ควบ รมว.ศึกษาธิการ
แลก กระทรวงพาณิชย์ ให้ “เพิ่มพูน ชิดชอบ” นั่งแทน

เอาเด็ก แก๊งไอติม จักรพงษ์ แสงมณี
จาก ที่ปรึกษานายกฯ มาเป็น รมว.ดีอี

อรรถกร ศิริลัทธยากร สลับเป็น รมว.เกษตรฯ
แทน นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่จะย้ายไปนั่ง รมช.คลัง

ดัน สุพัฒนพงศ์ พันธ์ุมีเชาว์ เป็นรองนายกฯ ควบ รมว.พลังงาน

สุชาติ ชมกลิ่น ขึ้น รมว.อุตสาหกรรม

ส่วน
พีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค,
เอกนัฏ พร้อมพันธ์ุ,
พิชัย นริพทะพันธ์,
ธีระรัตน์ สำเร็จวาณิชย์,
อิทธิ ศิริลัทยากร,
และ เผ่าภูมิ โรจนสกุล

คือกลุ่ม รัฐมนตรีที่ต้องหลุดจากเก้าอี้

เป็น สูตรปรับครม. ที่ค่อนข้าง พิศดาร
ที่ทั้ง อดีตนายกฯคนพ่อ และ นายกฯลูกสาว
ต้องคุยกันให้ ตกผลึก

และต้องทำเร็ว
ก่อน 13 มิ.ย. ที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นัดอ่านคำสั่ง คดีชั้น 14

เพราะถ้าทำหลังจากนั้น ดุลอำนาจอาจเปลี่ยน
… อะไรก็เกิดขึ้นได้