ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) จะออกมาอย่างไรก็ไร้ผล
แต่การใช้กลไกทวิภาคีฝ่ายทหาร ระดับรมว.กลาโหม ที่รัฐบาลมาเลเซีย รับบทเป็นตัวกลาง ฝ่ายไทยนำโดยพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาการรมว.กลาโหม ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา เป็นพล.อ.เตีย เซรยฮา รองนายกฯและรมว.กลาโหมกัมพูชา โดยมีตัวแทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ จะยิ่งชี้ให้เห็นชัดๆว่า กัมพูชาคือตัวเล่นที่ชอบแหกกติกา
กัมพูชาภายใต้การบงการของ พ่อ-ลูก ตระกูลฮุน พร้อมที่จะแหกข้อตกลง แหกหลักปฏิบัติตามกฎ-กติกาสากล อยู่ตลอดเวลา
วันนี้ผลพวงจากความกระหายเลือดของอาชญากรสงครามอย่าง ฮุน เซน เพื่อเป้าประสงค์ของตัวเองล้วน ๆ ศพทหารเขมรที่ถูกส่งมาตายเกลื่อนในสมรภูมิการสู้รบคราวนี้ กลับถูกเมินเฉยจากรัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำของ ฮุน มาเนต
เสียศักดิ์ศรี-เกียรติภูมิของชายชาติทหาร ที่เคยไปร่ำไปเรียนหลักสูตรเวสต์พอยท์ (West Point) ถึงสหรัฐฯ
ในขณะที่ทหารเขมรที่มาตายในฝั่งไทย ได้รับการจัดการส่งกลับอย่างสมเกียรติ แต่ที่น่าสังเวช คือ รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธที่จะรับศพทหารของตัวเอง กลับไปประกอบพิธีให้สมเกียรติ
ตัวเลขทหารเขมรที่ต้องมาเซ่นสังเวย กับความกระสันอยากในอำนาจและผลประโยชน์ของพ่อ-ลูกตระกูลฮุน จนถึงวันนี้ก็ยังสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นหลักเท่าไหร่กันแน่
มือ 1 ในกองทัพ ผู้สันทัดกรณีการเมือง-การทหารกัมพูชา ยืนยันว่าแตะหลักหมื่น หรืออย่างน้อยๆก็ต้อง 7-8 พันศพขึ้นไป
ส่งผลให้ ฮุน เซน ถึงกับออกอาการคลั่ง ฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกคน ใครก็เข้าหน้าไม่ติด แต่ฮุน มาเนต กลับลอยหน้าลอยตาทวงถาม 18 เชลยศึกจากไทย (แต่กลับทิ้งศพทหารที่มาตายกันเกลื่อนเพื่อตัวเอง ไว้อย่างน่าอเนจอนาถ) เป้าประสงค์เดียวคือ ปั่นเขมรเฟกนิวส์ ไปฟ้องชาวโลก
กองทัพไทยก็รู้ทันเล่ห์ มีการเชิญผู้แทนจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ หรือ ICRC และผู้แทนสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR ให้มาดูกับตา เพื่อความโปร่งใสต่อประชาคมโลก ว่าไทยไม่ได้ละเมิดข้อปฏิบัติต่อเชลยศึก
ความเหี้ยมอำมหิตของ ฮุน เซน ยังไม่หมดแค่นี้ แม้จะเห็นทหารของตัวเองตายเกลื่อนสมรภูมิ ก็ยังเติมกำลังเข้ามาในพื้นที่หลัก อย่าง บริเวณปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย, ช่องโดนเอาว์, ช่องอานม้า, ช่องตาเฒ่า, เขาสัตตโสม, และภูผี พื้นที่ที่ทหารกัมพูชาสูญเสียหนัก
วันนี้ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ เริ่มทันเกม หันมาใช้การทูตเชิงรุก เชิญคณะทูต 74 ประเทศ และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ มาย้ำจุดยืนเจตนารมณ์ของไทย ที่ต้องการแก้ปัญหาอย่างสันติ ผ่านกลไกการเจรจาทวิภาคีเท่านั้น พร้อมกับตอกย้ำการกระทำอันโหดร้ายของกัมพูชา ทั้งละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายด้านมนุษยธรรม โจมตีเป้าหมายพลเรือนโดยไม่เลือกหน้า ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ส่วนกองทัพก็เดินเกมตีคู่กัน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. พล.ท.ชัยพฤกษ์ ด้วยประพัฒน์ รองเสธ.ทบ. และ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดกองบัญชาการกองทัพบก รับพ.อ.(อาวุโส) Nguyen Tat Diem รองผู้ช่วยทูตทหารเวียดนาม ประจำประเทศไทย เขาหารือถึงความร่วมมือทางด้านการทหาร และกระชับความสัมพันธ์ของ 2 กองทัพ ให้แน่นแฟ้น
คล้อยหลังการเดินทางมาเยือนไทย ของ บุ่ย แทงห์ เซิน รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศเวียดนาม ที่ประกาศจุดยืนชัดเจน “เวียดนามขอยืนเคียงข้างประเทศไทย และสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของกองทัพไทยต่อเขมร”

จนถูกมองว่าจะเป็นสัญญาณเปลี่ยนเกม ในสมรภูมิอินโดจีน….. เมื่อกัมพูชาพยายามใช้โลกล้อมไทย ยุทธศาสตร์เราก็ต้องดึงเพื่อนบ้านมาล้อมกัมพูชาไว้อีกที
เหตุผลที่เวียดนามเลือกยืนเคียงข้างไทย มีหลายด้านด้วยกัน โดยเฉพาะเขมรภายใต้ตระกูลฮุน ทำตัวเป็นนกหลายหัว ชักศึกเข้าบ้าน(อาเซียน) พยายามเชลียร์ สหรัฐ-จีน เข้ามาตั้งฐานอิทธิพล แข่งขันกันในฐานทัพเรือเรียม อันกระทบต่อความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ของเวียดนามโดยตรง
และการจุดไฟสงครามกับไทยในครั้งนี้ สั่นคลอนเสถียรภาพภายในอาเซียน ที่จะลุกลามเป็นสงครามตัวแทน โดยไทยเป็นชาติที่รักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจมาตลอด ไม่เอนเอียงสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้การจับมือกับไทยไม่เสี่ยงต่อการตกเป็นเครื่องมือของใคร
ด้านแสนยานุภาพของเวียดนาม ถือว่ามีกำลังรบที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน เครื่องบินรบหลากหลายชนิดกว่า 200 ลำ เรือดำน้ำ 6 ลำที่ซ่อนตัวอยู่ในอินโดแปซิฟิก กองกำลังประจำการกว่า 4.7 แสนนาย กำลังสำรองอีกกว่า 5 ล้านนาย
ที่สำคัญประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่ผ่านมา ทำให้แม้แต่ชาติมหาอำนาจก็ไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน เมื่อเวียดนามขยับ จะทำให้ลาวขยับตามมาเป็นแนวร่วมไทยโดยอัตโนมัติ
เป็นโอกาสที่ไทยจะสร้างพันธมิตรยุทธศาสตร์ระยะยาว กับเวียดนามและลาว เพื่อปิดช่อง ฮุน เซน จุดไฟความขัดแย้ง ไปใช้ต่อรองผลประโยชน์-ขยายฐานอำนาจสู่รุ่นลูก
การเลือกหักหลังทิ้งจีน ไปซบมหาอำนาจอย่างสหรัฐ-ฝรั่งเศส เพื่อหวังจะกอบโกยแหล่งพลังงานในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญนี้ อาจเป็นผลกรรมของเขมรกลับกลอกอย่าง ฮุน เซน ก็ได้
ซึ่งก็ไม่น่าจะต่างกับอดีตคนเคยรัก สองพ่อ-ลูก ตระกูลชิน หลังสถานการณ์ชายแดนด้านบูรพาคลายปม
ก็น่าจะตรงกับเวลาเช็กบิลพอดี ราวๆต้นเดือนสิงหาคมนี้ กระแสยิ่งแรง “หมดเวลาตั๋วพิเศษ”
และรวมถึงการเมืองขั้วสีอื่น ทั้งน้ำเงิน-ส้ม ด้วย
ต้องย้ำอีกรอบ โปรดฟังอีกครั้ง ได้เวลา“ล้างกระดานการเมือง” !!