ประเทศไทยต้องไปให้รอด.?

“พ่อ” รอดไปแล้วหนึ่ง

อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร มาตามนัดศาลอาญา ที่นัดอ่านคำพิพากษา คดีตกเป็นจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีไปให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้ เมื่อเดือน พ.ค.2558

ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง อดีตนายกฯทักษิณ พ้นบ่วงคดีมาตรา 112

ให้เหตุผลที่ยกฟ้องว่า พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบ ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยกล่าวข้อความตามคำฟ้อง ขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง

สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง แต่มิได้นำพยานหลักฐานใด ๆ มานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟังไม่ได้

สำหรับความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้

ถือว่าปลดพันธนาการในคดี 112 ของอดีตนายกฯผู้พ่อ ไปได้เปราะหนึ่ง แต่ยังเหลืออีกเปราะคือ คดีชั้น 14 ที่น่าจะต้องลุ้นเสียวยิ่งกว่าคดี 112 นี้

ส่วนคดีของ นายกฯผู้ลูก แพทองธาร ชินวัตร ไปรอลุ้นกันโน่น วันที่ 29 ส.ค. แต่บอกเลยหืดจับกว่าคดีพ่อ อักโข

ไม่ว่าผลจะออกมาหน้าไหน ย่อมมีผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ถ้ารอด แม้รัฐบาลจะเดินต่อไปได้ แต่ตัวนายกฯถือว่ามีแผลฉกรรจ์ กลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลไปแล้ว โดยเฉพาะม็อบฝ่ายแค้นที่รอจังหวะโค่นอยู่ทุกนาที

แต่ถ้าไม่รอด ยิ่งสร้างแรงกระเพื่อมภายใน พรรคร่วมรัฐบาลที่จับมือกันหลวมๆ เพื่อ อำนาจ-ผลประโยชน์ จะมีสภาพยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้ง

ต้องเข้าสู่โหมดการเปลี่ยนตัวนายกฯคนใหม่ และสภาพไม่น่าจะไปต่อได้นาน โอกาสจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่มีสูง ถึงเวลานั้นก็ต้องเริ่มกระดานอำนาจมานับหนึ่งกันใหม่

พอหันไปดูเวียดนาม เพื่อนบ้านอาเซียนของเรา สถานการณ์ต่างกันลิบ

เวียดนามประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ มูลค่า 10% ของ GDP หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท ผ่านโครงการกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป้าหมายการเติบโตของจีดีพี 8% ในปีนี้

พร้อมตั้งเป้าหมายระยะยาวจะก้าวขึ้นเป็น “เสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งเอเชีย” และอีก 20 ปีจากนี้ จะยกระดับขึ้นเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2045 ตามรอยเกาหลีใต้ และไต้หวัน

เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ที่แผนการลงทุนจะครอบคลุมไปในหลากหลายโครงการ อาทิ สนามบิน ทางหลวง ศูนย์วิจัย โครงการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง และเมืองอัจฉริยะ

เวียดนามภายใต้ผู้นำสูงสุดคนใหม่ กำลังดำเนินการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 4 ทศวรรษ ยกระดับโครงสร้างด้านเศรษฐกิจครั้งสำคัญ หวังลดการพึ่งพาจากภายนอก ทั้งการส่งออก และการลงทุนจากต่างชาติโดยตรง ที่วันนี้ ภูมิรัฐศาสตร์โลกเพิ่มอัตราเสี่ยงขึ้นทุกวัน

ที่น่าจับตาในการปฏิรูป คือ มติข้อที่ 68 (Resolution 68) ที่มุ่งส่งเสริม ภาคเอกชนของเวียดนาม หลังจากครอบด้วยรัฐวิสาหกิจมานาน จะยิ่งช่วยให้เกิดการพัฒนา และปลดล็อกการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม

หรือมองไปไกลอีกหน่อยอย่าง ญี่ปุ่น ที่โลกกำลังจับตา กับยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงใหม่ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถทางทหารครั้งสำคัญ

ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่น คือเด็กดีมีวินัยสูงของโลก หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มุ่งหน้าสร้างชาติด้วยการค้า แต่วันนี้เมื่อเกิดวิกฤติภูมิรัฐศาสตร์โลก ในหลายจุด

รวมถึงนโยบายรัฐบาลสหรัฐ ภายใต้การควบคุมของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ทำให้ทุกประเทศต้องหันมาพึ่งพายืนอยู่บนขาของตัวเอง

ญี่ปุ่นก็ไม่เว้น ด้วยภัยคุกคามจากทั้งจีน และเกาหลีเหนือ เราจึงได้เห็นการทุ่มเทงบประมาณกลาโหม เพื่อเสริมศักยภาพกองกำลังทหารครั้งประวัติการณ์ ในรอบหลายทศวรรษ ราว 2% ของ GDP ตามเกณฑ์ของ NATO

ทั้งการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี และขีปนาวุธ(กลุ่มพิสัยกลาง-พิสัยไกล) สร้างคลังอาวุธจำนวนมาก เพิ่มการฝึกซ้อมร่วมกับพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ-เกาหลีใต้ เน้นเทคโนโลยีสูงในการป้องกันประเทศ รวมถึงการตั้งกองกำลังโดรน

ยกเลิกมาตรการห้ามส่งออกอาวุธที่เคยมีอยู่ เปิดทางให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถขายอาวุธให้กับพันธมิตรได้

ภาพกองทัพบูชิโด ที่เคยเกรียงไกร กำลังจะย้อนกลับมาเหมือนเดจาวู

ความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจ ที่ลุกลามไปทั่วโลก

แต่ประเทศไทย ยังมุ่งชิงอำนาจกันภายใน.. ส ต พ ..!!

-กระดูกเหล็ก

ตำรวจจับกุม “หลวงพ่ออลงกต” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ คดีทุจริตเงินบริจาค

จำคุก 2 เดือน รอลงอาญา 2 ปี “มารี เบรินเนอร์” เมาแล้วขับ แฟนหนุ่ม “ไฮโซบอส” โดนคุก 1 เดือน