กงเกวียนกรรมเกวียน ยังตามไล่ล่ากันไม่จบไม่สิ้น
เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้รับการบังคับโทษจำคุก 1 ปี เนื่องจากการเข้าไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เป็นอันปิดฉากคดีชั้น 14
ซึ่งเจ้าตัว อดีตนายกฯทักษิณ เลือกที่จะสื่อสารความในใจผ่านทีมงาน และคนใกล้ชิด “น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณฯ ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกคงเหลือเวลา 1 ปี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้”
รอบนี้ไม่ว่าจะด้วยไฟต์บังคับ ถ้าไม่กลับมาฟังคำสั่งอาจโดนหนักกว่านี้ แต่ก็ถือว่า อดีตผู้นำที่มีคนรักมากที่สุด และมีคนต่อต้านมากที่สุด ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ยอมเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามครรลอง ตบหน้าพวกฝ่ายแค้นฝังหุ่นที่ตามราวีกันไม่เลิก
ช่วงเวลา 1 ปีนับจากนี้ มองมุมบวกก็น่าจะเป็นโอกาสดีที่ อดีตนายกฯทักษิณ จะได้ทบทวนตัวเอง ในห้วงเวลาที่ผ่านมามีจุดใดบ้างที่ผิดพลาดไป ใครบ้างที่เป็นกัลยาณมิตรโดยแท้ ใครที่คอยทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง หรือคนใกล้ตัวคนไหนที่เป็นพิษ
ที่สำคัญคือความเชื่อมั่น ที่เชื่อนักเชื่อหนาเรื่อง ดีลมหัศจรรย์ ตั๋วพิเศษ ที่ได้มานั้น ไม่มีอะไรจีรัง
และยังเป็นโอกาสที่พรรคเพื่อไทย จะได้ทบทวนจุดยืนเช่นกัน ว่าในอนาคตจะวางตำแหน่งของพรรคไว้ตรงไหน ในกระดานอำนาจ
อ่านสัญญาณที่ส่งผ่านทีมงาน และลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่าง อดีตนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ที่ยังสวมบทบาทหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังไงก็ต้องเดินการเมืองต่อ
แต่ถือว่าหมดยุครุ่งเรืองเครือข่ายอำนาจ“ตระกูลชินวัตร” ทำให้ต้องวาง Position พรรคเพื่อไทยใหม่ อาจเป็นพรรคระดับกลางค่อนไปทางใหญ่ ไม่ใช่พรรคใหญ่ที่จะชิงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกต่อไปแล้ว
ขณะที่ อดีตนายกฯแพทองธาร ยังไม่พ้นจากวิบากกรรม ยังมีเรื่องร้องเรียนอยู่ในป.ป.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 5 เรื่องใหญ่ คือ 1.กรณี“คลิปเสียง” ที่เบื้องต้นนั้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ที่ ป.ป.ช.จะชี้ไปทางอื่น อาจถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต
2.กรณีกล่าวหา “ครม.แพทองธาร” ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144 กรณีโยกย้ายงบประมาณ 3.กรณีกล่าวหา “ตั๋ว PN” หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน ในการซื้อขายหุ้นกว่า 4.4 พันล้านบาท แก่บุคคลในครอบครัว เข้าข่ายทำ“นิติกรรมอำพราง” หลบเลี่ยงภาษีกว่า 218.7 ล้านบาทหรือไม่ 4.กรณี“รีสอร์ทหรู” เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ และ 5.กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์”
ทั้งหมดนี้ ยังเป็นชนักที่ปักเอาไว้กลางหลัง ตระกูล“ชินวัตร”

ดังนั้นคนที่พร้อมจะรับไม้ต่อ ก็คือ “เจ๊แดง”เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่รื้อฟื้นกลุ่มวังบัวบานขึ้นมาพักนึงแล้ว มี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สมศักดิ์ เทพสุทิน วราเทพ รัตนากร ฯลฯ เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
ส่วน สส. หรือนักการเมืองประเภทนกแล จิตไม่แข็ง ไม่อินอุดมการณ์ ก็คงทยอยไหลออกไป โดยมีภูมิใจไทย กับกล้าธรรม รอช้อนอยู่
เลือกตั้งรอบหน้า ชัดเจนว่าเป็นการชิงอำนาจกันของ 3 ก๊ก คือ ก๊กน้ำเงิน ก๊กแดง และก๊กส้ม โดยมีก๊ก“ผู้กอง” เป็นตัวสอดแทรก ตามยุทธศาสตร์สานต่ออำนาจให้“หนู”ไปอีก 4 ปี ของรัฐพันลึก
ดูจากโฉมหน้าโผครม. “หนู 1” ลงล็อกไปหมดแล้ว ต้องยกเครดิตสัดส่วนโควตาคนนอก ดูมีน้ำมีนวลดีทีเดียว การได้ เอกนิติ นิติทััณฑ์ประภาศ อธิบดีธนารักษ์ มาเป็นรมว.คลัง เสริมทัพด้วย วรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. มานั่งรมว.พลังงาน ศุภจี สุธรรมพันธ์ ซีอีโอกลุ่ม ดุสิตธานี นั่งรมว.พาณิชย์
เสริมแกร่งด้วยมือกฎหมายระดับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ คุมด้านกฎหมาย รองรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ในไฟต์บังคับ MOA กับพรรคประชาชน
ชุดใหญ่ไฟกระพริบ ถูกฝาถูกตัวแบบนี้ ลำพังบารมี นายกฯหนู คงไม่ใช่แม่เหล็กดึงดูดคนเหล่านี้ให้มาร่วมด้วยช่วยกันได้ เพราะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจแค่ 4 เดือน ต้องเป็นดีลระดับซูเปอร์ VIP ตามยุทธศาสตร์วางเกมอำนาจต่อไปอีก 4 ปีข้างหน้า
ส่องเบื้องหลัง ชื่อ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่โผล่มาแทรกคิว สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ และ ศุภจี สุธรรมพันธ์ ที่เบียดแทน “ปลัดตุ๋ม”จตุพร บุรุษพัฒน์ คนวางงานคือ “ขาใหญ่เขากระโดง” เจ้าพ่อก๊กน้ำเงินตัวจริง เพื่อเตะสกัดกลุ่มทุนการเมืองขั้วอำนาจเดิม ไม่ให้สยายปีกไปมากกว่านี้
สัญญาณชัดเจน คือ “เสี่ยเฮ้ง”สุชาติ ชมกลิ่น – “แด็ก”ธนกร วังบุญคงชนะ ที่ยอมหักลำทรยศคนที่อุ้มชู เพื่อมาร่วมวงไพบูลย์กับภูมิใจไทย
แม้จะได้เครดิตจากกาตตั้งรัฐมนตรีคนนอก แต่ครม.“หนู 1” ก็ยังมีรอยกระดำกระด่าง เนื่องจากต้องตอบแทนบุญคุณกลุ่มก๊วนการเมือง ที่มาร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน หลายคนที่ส่งตรวจสอบไปแล้ว ถูกตีตกด้านคุณสมบัติ ก็เอาลูก-เมีย-พี่-น้อง มาเป็นนอมินีขัดตาทัพแทน
จนถูกเปรียบเปรยเป็น ครม.ดอกไม้บนกอง..ี้ควาย


