เสียงเรียกร้องจากพรรคภูมิใจไทยให้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชาติประกาศยืนในฝั่งฝ่ายค้านเต็มตัว ไม่ได้สะท้อนเพียง “มารยาททางการเมือง” อย่างที่ถูกหยิบมาอ้าง หากแต่คือเกมการเมืองที่ซ่อนแรงขับเคลื่อนเชิงสัญลักษณ์และการช่วงชิงอำนาจในสภาอย่างแหลมคม
พลพีร์ สุวรรณฉวี ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย ยกประเด็น “ธรรมเนียม” ที่ว่าเก้าอี้ประธานสภาควรอยู่กับฝ่ายรัฐบาล
แต่เสียงสวนกลับจากฝั่งวันนอร์ก็ชัดเจน ประธานสภาไม่ได้เป็นของพรรคการเมืองใด แต่เป็นของ “สภา” ซึ่งมาจากการโหวตของ ส.ส. ทั้งสภา เว้นแต่เจ้าตัวจะลาออกเอง
การโยงเรื่องมารยาทมาเป็นเหตุผล กำลังถูกตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่ความห่วงใยต่อระบอบ หากแต่เป็นเพียง เครื่องมือกดดันเพื่อแย่งชิงเก้าอี้
ตำแหน่งประธานสภาฯ ไม่ใช่เพียงคนคุมค้อนประชุม แต่คือ “เครื่องมือทางการเมือง” ที่กำหนดวาระการประชุม คุมทิศทางการอภิปราย และสะท้อนอำนาจเชิงสัญลักษณ์ว่าฝ่ายใดคุมเกมในสภาได้จริง

การที่ภูมิใจไทยออกตัวแรง จึงถูกมองว่าต้องการ “รวบเบ็ดเสร็จ” ให้รัฐบาลอนุทินยึดทุกกลไกเอาไว้ในมือ
แต่แทนที่จะได้แต้มเต็ม พรรคภูมิใจไทยกลับเจอแรงตีกลับ โดยเฉพาะจาก จิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่เอาเรื่อง “ผู้นำฝ่ายค้าน” ของพรรคประชาชนมาตอกย้อน หากภูมิใจไทยยึดหลักประชาธิปไตยจริง ก็ควรเรียกร้องให้ผู้นำฝ่ายค้านที่เสียความเป็นฝ่ายค้านไปแล้วลาออกด้วย ไม่ใช่เลือกกดดันเฉพาะตำแหน่งที่ตัวเองหมายตา
นี่คือ การเมืองย้อนศร ที่ทำให้เกมของภูมิใจไทยถูกตีความว่า “เล่นสองมาตรฐาน”
วันนอร์ แม้จะเหลือวาระเพียงไม่กี่เดือน แต่กลับถูกยกเป็นสัญลักษณ์ของการ “ยืนหยัด” และกลายเป็นโล่บังไฟการเมืองให้ฝ่ายค้านโดยไม่ตั้งใจ ขณะที่ภูมิใจไทย เสี่ยงเสียภาพลักษณ์ว่า กระหายเก้าอี้มากกว่ารักษาหลักการ
สำหรับพรรคเพื่อไทย เกมนี้คือโอกาสทองที่จะดึงคู่แข่งฝ่ายรัฐบาลมาตีกันเอง ลดแรงกดดันทางการเมืองที่ถาโถมเข้ามายังพรรค
ศึกแย่งชิง “เก้าอี้วันนอร์” จึงไม่ใช่เพียงการทวงคืนตำแหน่งตามธรรมเนียม แต่คือการเปิดฉากห้ำหั่นทางการเมือง ที่เดิมพันไม่ใช่ตัวบุคคล หากแต่คือ ความชอบธรรมของฝ่ายการเมือง และ อำนาจเชิงสัญลักษณ์ในสภา
พูดอีกอย่าง เก้าอี้นี้ไม่ได้แพงเพราะเนื้อไม้ที่นั่งอยู่ แต่แพงเพราะ น้ำหนักทางการเมืองที่มันแบกไว้?