”อนุทิน“ เสี่ยงตาย ม.157เปิดทางทหารนำรัฐบาลเคาะเปิด-ปิดด่านเอง

คำประกาศของ นายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล“ ว่า “ทหารมีสิทธิ์ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเรื่องด่านรั้วชายแดนกับกัมพูชา และรัฐบาลจะหนุนปฏิบัติการเต็มที่” ไม่ได้เป็นเพียงท่าทีแข็งกร้าวยามวิกฤต แต่มันโยงยาวไปถึงแก่นของอำนาจรัฐ

ใครกันแน่ควร “ตัดสินใจ” ในเรื่องความมั่นคงระดับชาติ ระหว่างรัฐบาล กับกองทัพ

ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เตือนตรงไปตรงมาว่า กรอบปกติของสังคมประชาธิปไตยคือ พลเรือนต้องอยู่เหนือกองทัพ ฝ่ายทหารเสนอทางเลือกและลงมือปฏิบัติ แต่การ ตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์เป็นอำนาจของรัฐบาลพลเรือน

“หากนายกฯ โยนดุลยพินิจให้ทหาร ถือเป็นสัญญาณอันตรายทั้งในเชิงหลักการและระบบความรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะประชาชนเลือกนายกฯ ไม่ได้เลือก ผบ.เหล่าทัพ และไม่อาจ ลงโทษนายทหารผ่านคูหาเลือกตั้งได้”

ดร.ฟูอาดี้ ส่งสัญญาณ ชัดๆว่า เมื่อฝ่ายบริหาร “ละเว้น” หรือ “ผลักภาระ” การตัดสินใจที่กฎหมายมอบหมายให้ตนเอง อาจถูกลากโยงสู่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นฐานความผิดของ “เจ้าพนักงาน” ที่กระทบสิทธิประชาชน

พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม 2551 วางโครงบังคับบัญชาและหน้าที่ของกองบัญชาการกองทัพไทย เหล่าทัพไว้อย่างชัดเจน กองทัพ ควบคุม อำนวยการ สั่งการ และกำกับดูแลการเตรียมกำลัง การป้องกันราชอาณาจักร ภายใต้ อำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม

กล่าวให้ชัดคือ เส้นแบ่งพลเรือน–ทหารถูกกำหนดในกฎหมาย นายกรัฐมนตรี ต้องเป็นคน กำหนดเป้าหมาย–ยุทธศาสตร์ ก่อน ทหารจึงปฏิบัติให้บรรลุเป้า ไม่ใช่สลับบทบาทกันกลางวิกฤต

เพราะสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังเปราะบางและฉกาจ เกิดเหตุปะทะและใช้กระสุนยางแก๊สน้ำตาเมื่อ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา สะท้อนความเสี่ยงบานปลาย หากสั่งการโดยไร้กรอบการเมือง

ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายการทูตก็พยายามย้ำกรอบแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบผ่าน กลไกความร่วมมือ ยิ่งตอกย้ำว่าศูนย์รวมการตัดสินใจควรอยู่ที่ฝ่ายพลเรือนเพื่อบูรณาการมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ มนุษยธรรม และการต่างประเทศเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ปล่อยให้ทหาร “ชี้ขาด” ลำพัง

รัฐบาลอนุทินเป็นรัฐบาลเสียงน้อยที่ต้องประคองพรรคร่วมและแรงกดดันรอบทิศ การส่งสัญญาณ “ให้ทหารชี้ขาด” อาจถูกอ่านเป็นการซื้อความมั่นใจจากสถาบันความมั่นคงและกลุ่มอนุรักษนิยม เพื่อค้ำรัฐบาลในยามพายุการเมือง

แต่ราคาที่ต้องจ่ายคือภาพ “ยอมถอยหลักการ” และเสี่ยงเปิดประตูให้กองทัพ “คืนบทบาทการเมือง” แบบเลี่ยงรูป ถ้าปล่อยให้กลายเป็นบรรทัดฐาน ก็เท่ากับรื้อสะพานพลเรือนคุมทหารที่ประเทศพยายามสร้างหลังรัฐประหารหลายครั้งที่ผ่านมา

วิกฤตชายแดนต้องการ “ความเด็ดขาด” ก็จริง แต่ความเด็ดขาดในระบอบประชาธิปไตยต้องถูก ล็อกอยู่ในกรอบพลเรือน ไม่ใช่โอนเช็คเปล่าให้ทหารไปเขียนเอง เพราะความมั่นคงที่ยั่งยืนต้องมาพร้อมความชอบธรรม หากรัฐบาลเดินเกมให้ถูก พลเรือนกำหนดยุทธศาสตร์ ทหารปฏิบัติ ไทยจะได้ทั้งความปลอดภัยและหลักการ แต่ถ้าให้ “ทหารชี้ขาด” เป็นปกติใหม่ เราอาจได้ความแข็งในวันนี้ แลกกับต้นทุนประชาธิปไตยที่แพงกว่านั้นในวันหน้า

น้ำเงินรุกหนัก ทวงเก้าอี้ “วันนอร์” ไล่พ้นปธ.สภา

วนลูปอำนาจแค่สมบัติในตระกูล