ภาพการเมืองไทยในเวลานี้ คล้ายกับละครที่บทบาทตัวละครสลับสับเปลี่ยนจนคนดูสับสน พรรคที่เคยเป็น “ขวัญใจมวลชนรุ่นใหม่” และประกาศจะเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบอย่างไม่เกรงใจใคร วันนี้กลับถูกครหาหนักว่า “ส้มเซ้งพรรค” ให้ภูมิใจไทย
พรรคประชาชน ที่ถูกมองว่าสืบทอดอุดมการณ์ “พรรคส้ม” เคยสร้างทุนการเมืองจากการยืนตรวจสอบรัฐบาลอย่างแข็งกร้าว ทั้งเรื่อง แลนด์บริดจ์ ที่เคยค้านชนิดไม่ไว้หน้า และ ปมเขากระโดง ที่เคยใช้เป็นดาบฟาดฟัน
แต่เมื่อการเมืองพลิกขั้ว พรรคกลับเปลี่ยนบทพูดแทบจะทันที
ในสายตาประชาชน นี่ไม่ต่างจากการ “เซ้งพรรค” ให้ภูมิใจไทยใช้งาน ไม่ได้ตรวจสอบ แต่กลายเป็นกันชนทางการเมือง คอยแก้ต่างให้รัฐบาลอนุทินแทน
ฝ่ายค้านในระบอบประชาธิปไตยมีไว้เพื่อถ่วงดุล แต่วันนี้ฝ่ายค้านที่ชื่อพรรคประชาชนกลับทำหน้าที่เหมือน “เครื่องประดับ” ให้รัฐบาลดูดีขึ้น ความนิ่งเฉยต่อแลนด์บริดจ์ และการไม่ขยับกับประเด็น ฮั้ว ส.ว. หรือ เขากระโดง ทำให้ภาพพรรคนี้ถูกวิจารณ์ว่ามีสองมาตรฐาน
เวลาคนอื่นทำคือผิด เวลาภูมิใจไทยทำกลับกลายเป็นเงียบ

คำถามใหญ่ที่สังคมโยนกลับไปหาพรรคคือ ที่ยอมถอยเพราะมี ดีลลับ หรือเพราะพรรคเองหมดไฟ หมดเขี้ยวเล็บ และกำลังยอม “จำนำอนาคต” ให้ภูมิใจไทยคุมเกม? ไม่ว่าจะเป็นคำตอบแบบไหน ภาพที่ออกมาก็เสียหายทั้งสิ้น
แน่นอนว่า ฐานเสียงรุ่นใหม่ ที่เคยเชื่อมั่นในอุดมการณ์ อาจถอยห่างเพราะรับไม่ได้กับการ “กลับลำ”
ตรวกันข้าม พรรคภูมิใจไทย กลายเป็นผู้ได้เปรียบ เพราะนอกจากจะได้อำนาจบริหาร ยังได้ฝ่ายค้านที่ไม่กัดเต็มปากเต็มคำ
เมื่อ “ส้ม” ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นรสเปรี้ยวที่ตัดเลี่ยน หากแต่ยอม “เซ้ง” ความเป็นฝ่ายค้านให้ภูมิใจไทยใช้ประโยชน์ทางการเมือง คำถามที่รอการพิสูจน์คือ ประชาชนที่ฝากความหวังไว้ จะยังให้โอกาสในครั้งหน้าอีกหรือไม่
ฝ่ายค้านที่ไร้เขี้ยวเล็บ ไม่ต่างอะไรจาก “เสือกระดาษ” และอาจถึงวันที่พรรคนี้เหลือเพียงชื่อ แต่ไร้ทั้งพลังและความหมาย