รังสิมันต์ โรม และ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เปิดเผยเครือข่ายทุนเทาข้ามชาติที่เชื่อมสแกมเมอร์ กัมพูชา–จีน–ไทย พร้อมตั้งคำถามถึงนักการเมืองไทยบางรายเกี่ยวข้องหรือไม่
เสียงอภิปรายจาก “รังสิมันต์ โรม” และ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” บนเวทีรัฐสภา ไม่ใช่แค่การตั้งคำถามทางการเมือง แต่คือการจุดชนวน “ระเบิดเวลา” ที่ซุกอยู่ในระบบเศรษฐกิจ–การเมืองไทยมายาวนาน
มันคือเครือข่ายทุนเทาข้ามชาติ ที่โยงใยจาก “ปอยเปต” ถึง “อโศก” จาก “Prince Group” ของ “เฉิน จื้อ” ที่ถูกกระทรวงการคลังสหรัฐ (OFAC) คว่ำบาตร ไปจนถึงเครือข่ายธุรกิจการเมืองในไทยที่มีชื่อของนักการเมืองระดับชาติแฝงอยู่ในรายชื่อผู้ร่วมลงทุน
“รังสิมันต์ โรม” เปิดข้อมูลชุดใหญ่ในสภาฯ ว่ากัมพูชากำลังกลายเป็น รัฐคู่ขนานของทุนสแกมเมอร์ โดยมีเครือข่ายระดับสูงหนุนหลัง ทั้งอดีตนายกฯ ฮุน เซน และกลุ่มทุนที่เรียกกันว่า “Prince Group”
คอมเพล็กซ์สแกมเมอร์ในสีหนุวิลล์ ปอยเปต ไม่ได้เป็นเพียงค่ายหลอกคนไทย คนจีน แต่เป็น “ระบบเศรษฐกิจใต้ดิน” ที่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ รายได้จากคอลเซ็นเตอร์แก๊งหลอกลงทุน ถูกฟอกผ่านคาสิโน อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารเงาในภูมิภาค
เบน สมิธ (Ben Smith) ซึ่งรังสิมันต์อ้างว่าเป็น “นายหน้านักฟอกเงิน” มีบทบาทเชื่อมโยงกลุ่มทุนกัมพูชา จีน เข้ากับเครือข่ายนักการเมืองไทย โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาเมืองเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ชายแดนไทย–กัมพูชา
เฉิน จื้อ (Chen Zhi) คือชื่อที่สหรัฐฯ บรรจุไว้ในบัญชีคว่ำบาตรเมื่อปี 2024 ฐานะ นักธุรกิจที่ใช้กัมพูชาเป็นศูนย์กลางฟอกเงินสแกมออนไลน์
เขาควบคุมกลุ่ม Prince Group ถือครองทั้งอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร รีสอร์ต สายการบิน และช่องทางลงทุนคริปโต
รายงานของสื่อหลายสำนักชี้ว่า กลุ่มนี้ขยายอาณาจักรมาถึงไทย ผ่าน “Prince Real Estate International Thailand” ที่ตั้งสำนักงานย่านอโศก กรุงเทพฯ โดยมีผู้ถือหุ้นและกรรมการหลายรายเป็นชาวกัมพูชาจีน และบางรายเคยปรากฏชื่อในฐานข้อมูลธุรกิจที่เกี่ยวพันกับทุนเทา
“วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” กล่าวในสภาว่า หากรัฐไทยยังปล่อยให้ทุนลักษณะนี้เข้ามาโดยไร้การตรวจสอบ ประเทศไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางฟอกเงินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเส้นทางเงินสกปรกเหล่านี้กำลังถูกแปลงร่างเป็น “ทุนถูกกฎหมาย” ในตลาดหลักทรัพย์
เบน สมิธ ถูกระบุว่าเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจของ “ฮุน เซน” และ “ยิม เลียก” บุตรชายรองนายกฯ กัมพูชา เจ้าของ BIC Group ซึ่งมีเครือข่ายเชื่อมโยงการเงินทั่วภูมิภาค เขาไม่ใช่เพียงนักลงทุน แต่คือ “คนกลาง” ผู้เชื่อมระหว่างทุนสีเทาการเมืองและการฟอกเงินระดับภูมิภาค
ชื่อของเขาปรากฏในรายงานข่าวต่างประเทศ ว่าเคยทำงานร่วมกับกลุ่มทุนในไทย และอยู่เบื้องหลังดีลลงทุนขนาดใหญ่ในภาคพลังงานและอสังหาริมทรัพย์
“รังสิมันต์ โรม” จึงตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า ใครในประเทศไทยเปิดประตูให้เครือข่ายเหล่านี้เข้ามาทำธุรกิจ และเหตุใดจึงไม่มีหน่วยงานใดกล้าแตะต้อง
“วิโรจน์” ยังท้าให้ เกาหลีใต้ เปิดรายชื่อ “นักการเมืองไทย 7 คน” ที่ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวพันกับการฟอกเงินและเครือข่ายทุนเทาในกัมพูชา
แม้ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาลกัมพูชา แต่รายชื่อบางส่วนที่ถูกพูดถึง มีทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและอดีตข้าราชการระดับสูง
ข้อเท็จจริงที่ต้องจับตาคือ เครือข่ายทุนเทาไม่ได้หยุดอยู่ที่การหลอกลวงออนไลน์ แต่มันฝังรากลึกในระบบการเงินการลงทุนของไทย ผ่านการถือหุ้น นอมินี และ กองทุนเงา นักการเมืองที่มีอำนาจกำหนดนโยบายการเงินจึงมีโอกาสเกี่ยวพันทางอ้อมไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ในขณะที่กระแสทุนเทากำลังเดือด รัฐบาลกลับมีข่าวแต่งตั้ง “วรภัค ธันยาวงษ์” รมช.คลัง อดีตซีอีโอธนาคารขนาดใหญ่ เป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบเส้นทางเงินเทาสแกมเมอร์
แต่สิ่งที่ทำให้สังคมตั้งคำถาม โดยเฉพาะ “รังสิมันต์ โรม” คือชื่อของ “วรภัค” ถูกโยงว่าเคยเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้ ยิม เลียก ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันกับเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์
แต่ทว่า “วรภัค” เขายืนยันว่าให้คำปรึกษาเพียงด้านเทคนิค ไม่รับค่าตอบแทน และไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเงินใดๆ
แต่ในทางภาพลักษณ์ มันคือ “ความขัดแย้งเชิงศีลธรรมทางอำนาจ” เมื่อผู้ถูกตั้งคำถามกลับได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตรวจสอบ
นี่คือเหตุผลที่หลายฝ่ายเตือนว่า ถ้ารัฐบาลไม่เร่งสร้างกลไกตรวจสอบแบบโปร่งใสและเป็นอิสระ
คณะทำงานนี้อาจถูกมองว่าเป็นเพียง “ม่านควัน” บังปัญหาแทนที่จะปราบปรามจริง
ในระดับภูมิภาค สหรัฐฯ ออกกฎหมาย H.R. 5490 เพื่อจัดตั้ง Task Force ปราบแก๊ง สแกมเมอร์ข้ามชาติ ระบุชัดว่า กัมพูชา เมียนมา ลาว คือฐานใหญ่ของขบวนการหลอกลวงออนไลน์
ไทยถูกกล่าวถึงในฐานะ ประเทศปลายทางของเงินฟอก
นี่คือสัญญาณว่าโลกภายนอกเริ่มมองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่เพียงแหล่งแรงงานราคาถูก แต่คือ “ศูนย์กลางทุนสกปรก” และหากรัฐไทยยังคงปล่อยให้ทุนเทาเข้ามาซื้อทรัพย์สิน ถือหุ้นบริษัท ครอบครองสื่อ และเข้าถึงข้าราชการ
เรากำลังเดินเข้าสู่ยุคที่ “ทุนผิดกฎหมายครอบงำรัฐโดยสมบูรณ์”
ดังนั้น คำถามที่ “รังสิมันต์ โรม” และ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” โยนเข้าสภา ไม่ได้เป็นเพียงการอภิปราย แต่มันคือ “คำเตือน” ถึงสังคมไทย
เรากำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งระหว่าง “รัฐเอกราช” กับ “รัฐที่ถูกทุนมืดครอบงำ” ถ้าไม่กล้าเปิดโปงเส้นทางเงิน ไม่กล้าตรวจสอบผู้มีอำนาจและยังมอบหมายให้คนที่มีข้อสงสัยมาตรวจสอบทุนเทาเอง
“ความยุติธรรม” ก็จะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไปของเกมอำนาจ
กัมพูชาอาจเป็นต้นทางของสแกมเมอร์ แต่ไทยกำลังกลายเป็น “ท่อฟอกเงิน” ที่เปิดไว้โดยเจตนา
คำถามไม่ใช่แค่ “ใครอยู่เบื้องหลัง” แต่คือ เราจะยอมให้เงามืดนี้กลืนรัฐไปทั้งระบบอีกนานเท่าใด


