สองวิกฤตต่างประเทศของอุ๊งอิ๊งและอนุทิน ตั้งแต่คลิปเสียงที่ทำให้หลุดตำแหน่ง ไปจนถึงการฉีกปฏิญญากัมพูชาและพาดพิงสหรัฐของนายกฯ กรณีไหนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพไทยมากกว่ากัน
กระแสการเมืองไทยร้อนแรงอีกครั้งเมื่อชื่อของ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ถูกโยงเข้ากับคลิปเสียงสนทนากับ อังเคิล ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาคนสำคัญ จนนำไปสู่แรงกดดันที่ผลักให้เธอต้องหลุดจากตำแหน่งด้านนโยบายต่างประเทศ ขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กำลังเผชิญคำวิจารณ์หนักหลังการฉีกปฏิญญาร่วมกับกัมพูชา และการพาดพิงถึงสหรัฐ ซึ่งอาจกระทบทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและข้อตกลงการค้า คำถามสำคัญคือ วิกฤตแบบไหนสร้างผลเสียมากกว่ากันต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ
วิกฤตคลิปเสียง อิ๊งค์-ฮุนเซน จุดชนวนความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือ
กรณีคลิปเสียงของ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ที่ถูกเผยแพร่ในช่วงความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา กลายเป็นประเด็นร้อนระดับภูมิภาค เพราะผู้ที่ถูกระบุว่าอยู่ปลายสายคือ อังเคิล ฮุนเซน บุคคลที่ยังมีอิทธิพลสูงในสมการอำนาจกัมพูชา แม้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งคำถามถึงความเหมาะสมของการสื่อสารนอกรูปแบบ ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็นการเจรจาความมั่นคงโดยมิชอบ
แรงสะเทือนของคลิปเสียงไม่ได้จำกัดเฉพาะภาพลักษณ์ของตัวบุคคล แต่ลามไปถึงความน่าเชื่อถือของฝ่ายนโยบายต่างประเทศของไทย นักวิเคราะห์ชี้ว่ากรณีนี้สะท้อน “ช่องว่างทางสถาบัน” ที่อาจเปิดช่องให้ต่างชาติตั้งคำถามว่าไทยมีจุดยืนอย่างไรในความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยสถานการณ์นำไปสู่แรงกดดันที่ทำให้อุ๊งอิ๊งต้องหลุดจากบทบาทที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศในที่สุด
อนุทิน ฉีกปฏิญญา-พาดพิงสหรัฐ ความเสียหายเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อกว่า
ขณะเดียวกันวิกฤตของ อนุทิน ชาญวีรกูล มีมิติที่ต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ การตัดสินใจ “ฉีกปฏิญญาร่วม” ที่ลงนามไว้กับกัมพูชาเกี่ยวกับการจัดการชายแดน ทำให้เกิดแรงสะท้อนในระดับรัฐต่อรัฐ การกลับคำในเอกสารระหว่างประเทศเช่นนี้อาจถูกตีความว่าไทยบั่นทอนพันธกรณีของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทบความเชื่อมั่นของคู่เจรจาอย่างลึกซึ้ง
ความรุนแรงของสถานการณ์เพิ่มขึ้นเมื่ออนุทินมีถ้อยคำพาดพิง รัฐบาลสหรัฐ ในลักษณะที่อาจส่งผลต่อกรอบการเจรจาการค้าและความร่วมมือด้านความมั่นคง นักวิชาการระบุว่า ความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐ เป็นหนึ่งในเสาหลักด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ การส่งสัญญาณที่คลุมเครือหรือเป็นปฏิปักษ์อาจทำให้ไทยเสียเปรียบในระยะยาว ทั้งด้านการลงทุน การส่งออก และความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
การเมืองส่วนบุคคล vs. เสถียรภาพเชิงสถาบัน
การประเมินว่ากรณีของอุ๊งอิ๊งหรืออนุทิน “ร้ายแรงกว่า” จำเป็นต้องมองจากผลกระทบเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงคะแนนนิยมทางการเมือง นักวิจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า วิกฤตคลิปเสียงแม้จะสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์รายบุคคลและความน่าเชื่อถือทางการทูต แต่ผลกระทบส่วนใหญ่จำกัดในมิติ “ความชอบธรรมส่วนบุคคล” และไม่ผูกพันสถานะของรัฐไทยในระยะยาว
ในทางตรงข้าม การฉีกปฏิญญาระหว่างประเทศและการพาดพิงมหาอำนาจ เป็นการกระทำที่ผูกพันกับ “ตัวรัฐ” ซึ่งมีผลต่อยุทธศาสตร์ชาติในระดับโครงสร้าง ท่าทีดังกล่าวอาจทำให้ไทยเสียทั้งความเชื่อมั่นและช่องทางความร่วมมือที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจ ข้อตกลงการค้า และเสถียรภาพด้านความมั่นคง ผลกระทบจึงลึกกว่า ยาวกว่า และอาจย้อนมาที่ประชาชนโดยตรงผ่านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แย่ลง


