ศาลฎีกายืนยันคำสั่งเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจากทักษิณ 1.76 หมื่นล้าน ขณะอัยการสูงสุดเดินหน้าอุทธรณ์คดี 112 สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมือง ส่งผลต่อพรรคเพื่อไทยก่อนศึกเลือกตั้งใหญ่ปี 2569
วิบากกรรม.. ในยามฟ้า-ฝนไม่เป็นใจ
คลื่นความถี่สูง ส่งสัญญาณเชิงลบ ทะลุกำแพงเรือนจำ
ศาลภาษีอากรกลาง อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร จำเลยที่ 1 และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ได้แก่ พงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์, ประภาส สนั่นศิลป์ และพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ เป็นจำเลยที่ 2 – 4
ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ ที่แจ้งให้ อดีตนายกฯทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท ให้กับกรมสรรพากร
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร พิเคราะห์แล้ว พิพากษากลับยกคำฟ้องโจทก์ มีผลให้ อดีตนายกฯทักษิณ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ของกรมสรรพากรตามขั้นตอน
ปิดตำนานคดีการเมือง ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การขายหุ้นชินคอร์ปฯ
วิบากกรรมตามกันมาติดๆ อิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด มีความเห็นให้ยื่นอุทธรณ์คดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของ อดีตนายกฯทักษิณ กรณีไปให้สัมภาษณ์สำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน
แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้อง แต่ก็ยังไม่พ้นบ่วง เจ้ากรรมนายเวร ที่ต้องสู้กันถึงฎีกา
“นายใหญ่” กำลังโดนไล่ต้อนเข้ามุมอับ ใกล้จนกระดาน
อ่านหน้าไพ่สไตล์ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ฟันธงการอุทธรณ์คดี 112 ของอัยการสูงสุด
จุดมุ่งหมายเพื่อสกัด “ทักษิณ” ไม่ให้ออกจากคุกก่อนเลือกตั้ง ตัดตัวช่วยลูกพรรคเพื่อไทยหาเสียง ยิ่งทำให้ ค่ายแดง พรรคเพื่อไทย ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเข้าไปใหญ่
ตามอารมณ์ของ “ลูกสาว” สะท้อนความรู้สึกของผู้เป็นพ่อ “เอม” พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หลังเข้าเยี่ยมพ่อ “วันนี้คุณพ่อดูเสียใจ และรู้สึกเจ็บช้ำ จากเรื่องอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 หลังจากนี้คงต้องไปคุยและวางแผน ต้องสู้ค่ะ ถ้าเกิดเรายังไม่ได้รับความยุติธรรมก็ต้องสู้ต่อ”
มาถึงวันนี้คงมีแค่ อดีตนายกฯทักษิณ คนเดียวเท่านั้น ที่จะตอบคำถามในใจได้ว่า “ดีลพิศดารข้ามขั้ว” ในครั้งนี้ ได้คุ้มเสียหรือไม่
แม้จะดิ้นสู้ด้วยการหันกลับมาใช้โมเดล ทีมยุทธศาสตร์ เป็นตัวกำหนดทิศทางพรรคอีกครั้ง มี จาตุรนต์ ฉายแสง เป็นประธาน เพื่อผนึกกำลังแกนนำคนสำคัญ และลดความขัดแย้งภายใน
กับ 3 ภารกิจเร่งด่วน คือ วางแผนอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล, ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569
แต่การต้องเผชิญกับภาวะ กระแสนิยมต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุด นับจากก่อตั้งพรรคไทยรักไทยมา บวกเข้ากับสถานการณ์เชิงลบของ ผู้นำจิตวิญญาณสูงสุด ยิ่งทำให้พรรคระส่ำระสาย
น่าจับตาอย่างยิ่ง “นายใหญ่” และพลพรรคค่ายแดง จะแก้เกมโหดนี้อย่างไร
ผิดกับ คู่แค้น-ขั้วตรงข้าม ค่ายน้ำเงิน ของ “หนู-เน” ที่ถือ “โปรตั๋วช้าง”
ลมฟ้าอากาศเป็นใจ ขยายโปรต่อท่ออำนาจ ตามสูตร 4+4 ยึดธงนำขบวนโหนอำนาจอนุรักษ์นิยมโบราณกันไปแบบยาวๆ
พรรคภูมิใจไทย ถือว่าคุมสถานการณ์ได้เบ็ดเสร็จ ทั้งกุมอำนาจรัฐ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ รวมไปถึงองค์กรอิสระทั้งหลาย ที่ผ่านตรายาง สว.สีน้ำเงิน
สำคัญสุดคือมี ลมใต้ปีก คอยช่วงพยุง
เหลือแค่ด่านสุดท้าย เสียงสวรรค์จากประชาชน..?


