“บ้านใหญ่” สิ่งชำรุดหลงยุค รัฐสมัยใหม่

“มหาอุทกภัยหาดใหญ่” และ 9 จังหวัดภาคใต้ สร้างความย่อยยับทางเศรษฐกิจ เอาเฉพาะ หาดใหญ่พื้นที่ไข่แดงทางเศรษฐกิจของภาคใต้ ก็ปาไปกว่า 2 หมื่นล้าน

เป็นตัวเลขที่หอการค้าจังหวัดสงขลา ประเมินเอาไว้คร่าวๆ

เคยเขียนเตือน “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ไว้ตั้งแต่ฤดูกาลน้ำหลากเพิ่งจะเริ่มต้น ช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจนายกฯ มาอยู่ในมือ “เสี่ยหนู” ว่าอย่าดูเบาใน “พลังอำนาจของน้ำ”

ผ่านมายังไม่ถึง 3 เดือนดี กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ก็ซัดคะแนนนิยมรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะตัว “นายกฯหนู” ที่เกาะกระแสชาตินิยม มาวันนี้ต้องระเนระนาดจมหายไปกับสายน้ำ

ความนิยมพุ่งเป็น “ผีพุ่งใต้” ถึงขนาดที่ “เสี่ยหนู” ออกปากตอนมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณปี 2570 ที่มีคณะรัฐมนตรี ผบ.เหล่าทัพ และระดับหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วม ถึง “4 ภัย” ที่รัฐบาลกำลังเผชิญ

แม้จะเป็นการยิงมุกว่า “อยากจะนามสกุลหลีกภัย แต่กลายเป็นนามสกุลเจอภัย” เจอเข้าไป 4 ภัย คือ ภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ สะท้อนความในใจ “ผู้นำเส้นก๊วยจั๊บ” ได้ดีว่า สถานการณ์ที่ดูเหมือนค่ายสีน้ำเงินจะกำ “แต้มต่อ” ในมือ ที่ถือทั้ง อำนาจรัฐ-อำนาจทุน-อำนาจพิเศษ(ตั๋วช้างเขากระโดง) กุมความได้เปรียบสนามเลือกตั้ง แบเบอร์

จากที่เคยตั้งท่าก๋ากั่น ขู่ฝ่ายค้านพร้อมจะยุบสภาทุกเมื่อ ถึงตอนนี้ไม่ใช่เสียแล้ว

เมื่อเรตติ้งตกฮวบ สถานการณ์ก็ยังไม่พลิกเป็นมุมบวก ยุบสภาก็เท่ากับทิ้งปัญหา เป็นแผลให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปขยี้ในช่วงหาเสียง

ดุลการเมืองจึงสวิงมาที่ฝ่ายค้าน ที่ทั้ง พรรคประชาชน ที่มีเก้าอี้ผู้นำฝ่ายค้าน ไว้ตีตราประทับกระบวนการด้านนิติบัญญัติ หรือพรรคเพื่อไทย ที่น่าจะเห็นตรงกันเป็นครั้งแรกในรอบ 2-3 ปีมานี้ ยังไม่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ยังให้โอกาสแก้ปัญหาเร่งด่วนก่อน

แต่เชื่อแน่ว่าหลังรัฐสภา ผ่านการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้ว เกมเผด็จศึกจึงจะเริ่มต้นขึ้น ในช่วงคาบเกี่ยว “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่”

ก็ต้องมาดูว่าการเร่งระดมอัดประชานิยม เพื่อกู้เรตติ้งรัฐบาล จะทำได้ทันกาลหรือไม่

ช่วงที่ผ่านมา “ค่ายสีน้ำเงิน” ได้ชื่อว่าตุน “กระสุนไว้ล้นคลังเสบียง” โชว์พลังดูด “กลุ่มบ้านใหญ่” สารพัดซุ้ม เข้าค่ายสีน้ำเงิน ที่เปิดหน้าเปิดตัวไปก็หลายซุ้ม แต่พวกรอเปิดตัวตอนนี้เริ่มชะงัก บ้านใหญ่หลายหลังมีออกอาการ “ยื้อดีล”

ขอไปเช็กเรตติ้งกันอีกรอบ ประเมินความคุ้มเสี่ยงอีกที

แต่จากวิกฤติน้ำท่วมหาดใหญ่ บ่งชี้ให้เห็นถึงความพินาศของรัฐไทย กับโครงสร้างที่เป็นพิษ เมื่อมาผนวกกับ ผู้นำที่ไร้สมรรถนะ ประชาชนจึงต้องรับเคราะห์กันไป

การเมืองแบบบ้านใหญ่ ที่เดินได้ด้วยพลัง เงิน – อิทธิพล – ความภักดี – ประโยชน์ต่างตอบแทนในเครือข่าย คือระบบที่ต้องการ “คนที่เชื่อฟัง” มากกว่าความสามารถ มันเป็นธรรมชาติที่จะคัดเลือกผู้นำที่ “เชื่อฟังได้” แต่ “บริหารไม่ได้”

ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ “เอ้าท์” สำหรับการบริหารรัฐสมัยใหม่

แม้จะล้มเหลวในการคาดการณ์ ล้มเหลวในการสั่งการ ล้มเหลวในการประสานงาน หรือกระทั่งล้มเหลวในการเป็นรัฐบาล

แต่ในเมื่อ “ทีมพยุง” ยังคอยเป็นลมใต้ปีก โอบอุ้มกันไว้

ประชาชนคนไทย ก็คงต้องเผชิญวิบากกรรมกันต่อไป ตามสูตร 4 x 4

“อนุทิน” ปิดประตูเจรจา ย้ำชัด ไม่ยอมให้กัมพูชาคุกคามอธิปไตย

กัมพูชางัด BM-21 โจมตีแนวชายแดนไทย กองทัพภาคที่ 2 ยันตอบโต้ตามกฎการปะทะ