เปิดหน้ากันไปแล้วกับ 3 แคนดิเดตนายกฯ ของ 2 พรรคการเมืองใหญ่
พรรคประชาชน ค่ายส้ม ออกตัวแสดงความพร้อมมาก่อนใคร เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ มาตั้งแต่ไก่โห่ เรียงกันตามลำดับ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค, และวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร มือวางยุทธศาสตร์มาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่
ตามด้วยพรรคเพื่อไทย ที่จัดรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ตามยุทธศาสตร์เลือกตั้งรอบนี้ วางตัวเบอร์ 1 ไว้ที่ ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ลูกชายคนโต สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ส่วนแคนดิเดตฯอีก 2 คนไม่ได้จัดลำดับว่าใครอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ ได้แก่ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคนสำคัญ
ส่วนพรรคภูมิใจไทย ที่นำทีมโดย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและหัวหน้าพรรคภูมิในไทย ยังคงยึกยัก จะเปิดไม่เปิด อีก 2 แคนดิเดตฯ ตามที่ “เสี่ยหนู” ปล่อยข่าวล่วงหน้ามาเป็นเดือน คือ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส กับ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ สองรัฐมนตรีข้าวนอกนา ที่ได้รับเสียงตอบรับจากสังคมในทางบวก พุ่งแซงหน้าคนที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล
การยักแย่ยักยันเปิดตัวล่าช้าแบบนี้ แสดงถึงความไม่พร้อม ต้องรอ “ใบสั่ง” ออกมาก่อน
ท่ามกลางกระแสข่าว แคนดิเดตฯบางคน ขอไปทบทวนผลได้ ผลเสีย มุมบวก มุมลบ ที่สำคัญคือต้องขออนุญาตคนทางบ้าน กับการกระโดดลุยโคลนการเมืองเต็มตัว เพราะหลังปรากฏชื่อออกมาแล้ว ก็จะไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว
แม้กูรู-ผู้สัดทัดการเมืองทั้งหลาย ฟันธงตรงกัน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเครือข่ายบ้านใหญ่ ที่สวมคราบอนุรักษ์นิยมใหม่ มีชื่อ อนุทิน เด่นหราอยู่เหนือสมการอำนาจ
แต่ก็มีคู่ขับเคี่ยว คือพรรคประชาชนที่ไม่อาจดูเบาได้ แม้จะเสียหายกับ “ค่ายอมโง่”
ท่ามกลางกระแสการเมืองในม่าน เทา-ดำ กับการใช้ทุนเทา-ดำ งัดอำนาจรัฐ ลากอำนาจนอกระบบ เข้ามามีเอี่ยวกับศึกชิงอำนาจ และดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ชาชินกันไปซะแล้ว ในสังคมไทยยุคนี้
แม้การเมืองระบบบ้านใหญ่ ไม่ได้ทำให้สังคมไทยพังทลายลงในพริบตา ถนนยังมีรถวิ่ง ร้านอาหารยังเปิดทำการ แต่ภายใต้ความปกติที่ไม่ปกตินี้ มีบางสิ่งที่ค่อย ๆ ตายลงอย่างเงียบงัน นั่นคือความเชื่อที่ว่า “การเมืองเป็นของประชาชน”
รัฐบาลที่ตั้งอยู่บนการประสานผลประโยชน์ของชนชั้นนำ จะรักษาความนิ่งสงบเอาไว้ ความขัดแย้งถูกจัดการหลังฉาก การเมืองในระบอบเช่นนี้ไม่ต้องการความหวังของประชาชน ขอเพียงความเคยชิน ไม่ต้องการจินตนาการ ขอเพียงการยอมรับ และไม่ต้องการพลเมือง ขอเพียงผู้ชม
ผู้กุมอำนาจตัวจริง ยังคงวนเวียนอยู่ในเครือข่ายเดิมๆ
ต้องย้ำกันลืมว่า การเมืองไทยลูกกลมๆ ผลการเลือกตั้งปี 62 ก็หักปากกาเซียน ทุบกระดานสแตท ทำลายทุกตัวเลขสถิติกันมาแล้ว
จนถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่า ประวัติศาสตร์การเมือง จะไม่ซ้ำรอย
ทุกอย่างอยู่ที่เสียงในมือของพี่น้องประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ที่ต้องตอบตัวเองว่าในอนาคตข้างหน้า เราและลูก-หลาน จะอยู่ในสังคมแบบไหน
วันนี้สังคมไทยมาไกลเกินกว่าคำว่า ประชาธิปไตยใน 1 นาทีแล้ว
ขณะที่ พรรคเพื่อไทย วันนี้ต้องเล่นสลับบทกับ พรรคภูมิใจไทย ไปเป็นตัวแปรของสมการอำนาจ
การจัดตั้งรัฐบาลผสมรอบหน้า จะยิ่งฝุ่นตลบฟุ้งกว่าเดิม
เพราะตัวเลขที่นั่งสส. ไม่เคยหลอกใคร… แต่อยู่ที่ว่าจะได้เลือกหรือป่าว..?


