รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามจ้างเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์ของ สำนักงานจัดการความปลอดภัยนิวเคลียร์แห่งชาติ (NNSA) กลับเข้าทำงาน หลังจากเพิ่งไล่ออกไปเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดความกังวลว่า การลดจำนวนบุคลากรอาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะในแผนกที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและควบคุมอาวุธนิวเคลียร์
การปลดพนักงานของ NNSA และผลกระทบด้านความมั่นคง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินการเลิกจ้างเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางเกือบ 10,000 คน ตามนโยบายลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง ซึ่งมี อีลอน มัสก์ เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาสำคัญ อย่างไรก็ตาม หนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบคือ NNSA ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการออกแบบ ควบคุม และบริหารคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ
การเลิกจ้างพนักงาน กว่า 300 คน ใน NNSA ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ เนื่องจากหลายคนในกลุ่มนี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลกระบวนการผลิตและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์โดยตรง
หลังจากการปลดพนักงานเพียง หนึ่งวัน ทำเนียบขาวเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางยกเลิกการเลิกจ้างเจ้าหน้าที่ NNSA โดยเร่งติดต่อให้พวกเขากลับเข้าทำงาน
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญคือ อดีตพนักงานกลุ่มนี้ถูกตัดสิทธิ์เข้าถึงอีเมลของรัฐบาลกลาง ทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยเอกสารของรัฐบาลที่ สำนักข่าว NBC News เปิดเผย ระบุว่า “จดหมายเลิกจ้างสำหรับลูกจ้างทดลองงานบางคนกำลังถูกเพิกถอน แต่เราไม่มีวิธีดีๆ ในการติดต่อกับคนกลุ่มนี้”
เหตุการณ์นี้สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลทรัมป์อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเป็นนโยบายลดขนาดรัฐบาลที่มุ่งลดค่าใช้จ่าย แต่กลับส่งผลกระทบต่อหน่วยงานด้านความมั่นคงของชาติ
นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า นโยบายนี้อาจเป็นความผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ เพราะการลดจำนวนบุคลากรด้านความมั่นคงนิวเคลียร์อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยให้กับประเทศ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามของทรัมป์ชี้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการบริหารที่ขาดการประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบ

แม้รัฐบาลจะพยายามเรียกเจ้าหน้าที่กลับมา แต่ก็ยังไม่มีความแน่ชัดว่า พนักงานที่ถูกเลิกจ้างไปแล้วจะยอมกลับมาทำงานหรือไม่ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของนโยบายบริหารงานบุคคลของรัฐบาล
การปลดพนักงานด้านความมั่นคงนิวเคลียร์ของ NNSA กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และอาจส่งผลกระทบต่อแนวทางการบริหารของรัฐบาลทรัมป์ในช่วงที่เหลือของวาระการดำรงตำแหน่ง
ภาพ / ข้อมูล : ไหยรัฐ