ทรัมป์ขึ้นภาษีหวังดึงการผลิตกลับสหรัฐฯ นักเศรษฐศาสตร์เตือนเสี่ยงล้มเหลว

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากหลายประเทศ รวมถึงจีน เวียดนาม และสหภาพยุโรป โดยอ้างว่าจะกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ กลับมาตั้งโรงงานในประเทศ และสร้างงานในภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศออกมาเตือนว่า แนวทางนี้อาจสร้างผลกระทบทางลบมากกว่าที่คิด ทั้งในด้านต้นทุนการผลิต ความเชื่อมั่นนักลงทุน และโอกาสในการแข่งขันระยะยาวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ผลกระทบจากนโยบายภาษีต่อการผลิตในประเทศ

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มาตรการภาษีจะทำให้ “งานและโรงงานจะกลับมาอย่างคึกคักในประเทศของเรา” พร้อมย้ำว่าการผลิตภายในประเทศมากขึ้นจะช่วยลดราคาสินค้าและเพิ่มการแข่งขันในตลาด

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจตั้งข้อสังเกตว่า การย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ ต้องใช้เวลาหลายปี และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะค่าแรงในอเมริกาที่สูงกว่าประเทศคู่ค้าอย่างมาก ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นแทนที่จะลดลงตามที่ทรัมป์คาดหวัง

ผู้เชี่ยวชาญชี้ ทรัมป์เข้าใจผิดเกี่ยวกับระบบการค้า

จัสติน วูลเฟอร์ส ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ จาก มหาวิทยาลัยมิชิแกน ระบุว่า ทรัมป์มี “ความเข้าใจผิดพื้นฐานเกี่ยวกับการค้า” โดยการผลิตในประเทศมากขึ้นไม่ได้หมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเสมอไป

เขาอธิบายว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนจากภาคการผลิตไปสู่ภาคเทคโนโลยีและบริการมาหลายทศวรรษ ซึ่งช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่หลากหลายและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีกว่าเดิม

เลย์นา มอสลีย์ ศาสตราจารย์ด้านการเมืองและกิจการระหว่างประเทศจาก มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เห็นด้วยว่า การพยายามดึงสหรัฐฯ กลับสู่ยุคอุตสาหกรรมเป็นการเพิกเฉยต่อความเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจโลก เธอเน้นว่า ห่วงโซ่อุปทานในปัจจุบันมีความซับซ้อน และชิ้นส่วนสำคัญ เช่น ไมโครชิปหรือสิ่งทอ ไม่สามารถผลิตได้ทั้งหมดภายในประเทศ

ปัจจัยความไม่แน่นอนและต้นทุนความเสี่ยงในอนาคต

วูลเฟอร์สยังเตือนว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีจะยิ่งทำให้บริษัทลังเลที่จะลงทุนในโรงงานใหม่ เพราะไม่มีความแน่นอนว่าอัตราภาษีจะยังอยู่ในระดับเดิมอีกหลายปีข้างหน้าหรือไม่

แม้ทรัมป์จะกล่าวว่า โรงงานสามารถสร้างได้ในเวลา 1.5 ถึง 2 ปี แต่หากการเมืองเปลี่ยนแปลงเร็ว การลงทุนในโรงงานอาจกลายเป็นภาระมากกว่าผลดี

มอสลีย์ระบุว่า แม้บริษัทบางแห่งอาจประกาศแผนการลงทุนเพื่อสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะดำเนินการตามนั้นจริง ซึ่งเป็นภาพที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เช่น กรณีของโรงงาน Foxconn ที่ประกาศยิ่งใหญ่ในปี 2018 แต่สุดท้ายลดขนาดการลงทุนและจำนวนแรงงานลงอย่างมาก

ความท้าทายในการฟื้นเศรษฐกิจจากยุคอดีต

นักวิชาการหลายคนมองว่า ความพยายามนำสหรัฐฯ กลับสู่รูปแบบเศรษฐกิจในยุค 1950 นั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยีและนวัตกรรม

วูลเฟอร์สกล่าวว่า รัฐบาลควรมุ่งเน้นการลงทุนด้านการศึกษาและฝึกอบรมแรงงานรุ่นใหม่ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันในภาคเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ มากกว่าการย้อนกลับไปพึ่งพาการผลิตแบบเดิม

ทรัมป์, ภาษีนำเข้า, เศรษฐกิจสหรัฐ, การค้าโลก, โรงงานผลิต

ข้อมูล/ภาพ : abc NEWS

รัฐบาลที่ใกล้จะสิ้นอายุขัยจะไปทางไหนดี…..จะมีทางไหนที่สดใสสว่าง…..

รสนาซัด รมว.พลังงาน ปล่อยค่าการตลาดน้ำมันพุ่งไม่ยั้ง