“ระวัง…เสียงจากอดีต อาจกลายเป็นบ่วงพันธนาการอนาคต”
นั่นคือวรรคทองที่ผุดขึ้นในใจ เมื่อได้เห็นข่าวสารล่าสุดจากแดนลุงแซม เพราะใครจะเชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำผู้มีเอกลักษณ์อย่าง “หลุดโลกอย่างมีเสน่ห์” จะต้องมาสะดุดล้มกลางเวทีภาษีนำเข้า หลังจากศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ เพิ่งสั่ง “เบรก” มาตรการภาษีของเขาอย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผลว่า “เกินขอบเขตอำนาจรัฐธรรมนูญ”
นี่คือการตั้งคำถามจากตุลาการต่ออำนาจของฝ่ายบริหาร… คำถามที่ทรัมป์ตอบไม่ได้ หรือบางทีเขาอาจคิดว่าไม่ต้องตอบ
ภาษีนำเข้าระดับ 10%, 25%, จนถึง 30% ที่เขาเคยดีดนิ้วออกมาราวกับเป็นนโยบายจากคฤหาสน์ทรัมป์ทาวเวอร์ บัดนี้ต้องถูกถอดปลั๊กกลางอากาศ และไม่ใช่เพราะ “ฝ่ายค้าน”… แต่เป็นเพราะ “กฎหมาย” ที่เขาเองเคยสบถว่า “น่ารำคาญ”
แม้ทรัมป์จะรีบยื่นอุทธรณ์ พร้อมย้ำว่าตนทำเพื่อปกป้องชาติจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม แต่การกระทำบางอย่าง—โดยเฉพาะเมื่อมันกระทบต่อระบบระหว่างประเทศ—ไม่สามารถถูกอธิบายด้วยแค่คำว่า “รักชาติ”
ความรัก…ถ้าขาดเหตุผล ก็ไม่ต่างอะไรจากอารมณ์ดิบที่ทำลายมากกว่าสร้าง
อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์เดินหน้าผลักดันร่างกฎหมายภาษีชุดใหม่ ในนามที่หวานหูว่า “One Big Beautiful Bill” แต่เบื้องหลังกลับถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าอาจเป็นเพียง “กล่องของขวัญลวงตา” ที่เต็มไปด้วยภาษีที่ลดอย่างไม่สมดุล
การยกเว้นภาษีทิปและโอทีดูดีในกระดาษ แต่เมื่อล้วงลึกถึงผลกระทบต่อฐานรายได้ของรัฐและการก่อหนี้ใหม่ นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า สหรัฐฯ อาจก้าวเข้าสู่ภาวะ “หนี้ล้น” ในเวลาไม่เกิน 10 ปี
แม้แต่อีลอน มัสก์ ยังต้องออกมาวิจารณ์ว่า “Beautiful Bill ที่ทรัมป์ว่ามานั้น…มันอาจสวยเฉพาะในความฝันของนักการเมือง”
สำหรับคนไทย…อาจมองว่านี่คือเรื่องของอเมริกา แต่ขอเตือนว่าเมื่อมหาอำนาจหนึ่งขยับ โลกทั้งใบย่อมสะเทือน
นโยบายภาษีของทรัมป์เคยทำให้ไทยต้องปรับโครงสร้างการส่งออก ไทยเคยเสียแต้มในเกม “ภาษีศุลกากร” ทั้งที่ไม่ได้เล่น และวันนี้ หากศาลสหรัฐฯ ยืนยันคำสั่ง มันคือเสียงสัญญาณเตือนที่อาจกระตุกมือรัฐมนตรีคลังไทยให้กลับมาทบทวนนโยบายภาษีของตนเอง
ไม่ใช่แค่จะลด หรือจะเพิ่ม แต่ควรถามว่า…มี “เหตุผล” เพียงพอแล้วหรือยัง
